เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2560 นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองวันนี้เปลี่ยนไปจากที่ตนเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้อยู่มาก โดยเฉพาะการที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ น่าจะเดินทางออกนอกประเทศ ไม่มาศาลตามนัด แสดงให้เห็นว่า เรายิ่งห่างจากการปรองดองออกไป แต่ต้องเห็นใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะการรับจำนำข้าว ผิดถูกยังไงไม่ทราบ แล้วแต่ศาลตัดสิน แต่ก่อนศาลตัดสิน เราต้องยอมรับความจริงว่าโครงการจำนำข้าว ช่วยเกษตรกรมีรายได้ดีขึ้น แต่วิธีการถูกหรือไม่อีกเรื่อง เพราะเป็นโครงการประชานิยม ต้องใช้เงินมาก น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจผิดพลาดตรงนี้ เจตนาดีอยากให้เกษตรกรมีเงินมากขึ้น แต่การบริหารจัดการอาจหละหลวม จนเกิดคอร์รัปชั่นมาก
นายพิชัยกล่าวว่า เราคงไม่สามารถวิจารณ์คำตัดสินศาล เราต้องเคารพศาล กฎหมายว่าอย่างไรก็ต้องทำตามนั้น ส่วนสถานการณ์ปรองดองหลังจากน.ส.ยิ่งลักษณ์หนี วันนี้ยิ่งมองไม่เห็นทาง แต่ไม่ควรท้อถอย ส่วนรัฐบาลจะมีการเลือกตั้งเมื่อใดนั้น ต้องวิเคราะห์ด้วยเหตุผล รัฐบาลพูดตอนยึดอำนาจปี 2557 ว่าจะเลือกตั้งปลายปี 2560 จากนั้นก็เลื่อนมาปี 2561 แต่วันนี้ตนเชื่อว่าจะไม่มีเลือกตั้งตามโรดแมปแน่นอน เพราะกฎหมายลูกคลอดยากเหลือเกิน ทั้งที่มีโรดแมปกางไว้ชัดเจนแล้ว
นายพิชัยกล่าวว่า ความจริงเรื่องปรองดองก็พอมีหวัง แต่พล.อ.ประยุทธ์ มีข้อเสียตรงหงุดหงิดเกินไป พูดจากระโชกโฮกฮาก เมื่อเทียบกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ ที่เป็นทหารไม่ใช่ผู้แทนฯ แต่พูดจานิ่มนวลทำให้ประชาชนรักได้ อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ ลดโทนลงมาบ้าง เพราะถ้าหัวหน้ารัฐบาลโผงผางอยู่ตอบโต้ไปหมด การปรองดองก็ทำยากเหลือเกิน ไม่ใช่จะสอน แต่ขอพูดความจริง
นายพิชัยกล่าวว่า ความหวังของบ้านเมือง ยังมีทางเลือกอีกทางที่ยากหน่อย คือการมีรัฐบาลต่อไปที่สวยงามนั้นคือพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคอย่างภูมิใจไทย รวมกับทหารตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ไม่แน่ใจว่าทหาร หรือพรรคการเมืองจะเอาหรือไม่ ที่พูดมานี้เพื่อให้เกิดความปรองดอง ไม่ใช่การซูเอี๋ย แต่ไม่ต้องการให้พรรคการเมืองเป็นศัตรูกับทหาร และมานั่งทำงานร่วมกันปรองดองเพื่อชาติ ส่วนใครจะเป็นนายกฯก็ให้ว่ากัน
“คนที่เลือกทำริเริ่มอย่างนี้ได้คือพล.อ.ประยุทธ์ ถ้าผมรู้จักกับนายกฯเป็นการส่วนตัว จะไปนั่งคุยแล้วบอกแบบนี้ แต่หากจะตั้งรัฐบาลให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญตอนนี้ หรือทหารตั้งรัฐบาลฝ่ายเดียวหลังการเลือกตั้ง ไม่มีทางปรองดอง หรือทำให้เศรษฐกิจไปรอด โมเดลดังกล่าวจะทำเศรษฐกิจแล่นฉิวไปรอด ต่างชาติเชื่อมั่นจากภาพการผนึกกำลังร่วมมือกัน ไปลิ่วฉิวเลย แม้ทางนี้ยากจริงๆ แต่พล.อ.ประยุทธ์ จะทำจริง ก็ทำได้” นายพิชัย กล่าว
มีหลายประเด็นที่ควรมองเห็น คิด และวิเคราะห์ไปด้วยกัน
(1) ดูเหมือนนายพิชัย รัตตกุล ไม่พร้อมจะประเมินความถูกผิดของโครงการรับจำนำข้าวนะครับ ทั้งๆ ที่มันมีความถูกผิดให้จำแนกได้อย่างง่ายดาย ก็ไม่รู้ว่าพูดเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ เพื่อไมตรีทางการเมืองหรือเปล่า เพราะช่วงหลังๆ เห็นตะบึงตะบอนงอนหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน และ “เก็บอาการ” ไม่ค่อยอยู่ จะลองย้ายไปพรรคเจ๊ปูดูสักทีดีไหมครับ (ฮา...) ไหนๆ ก็มีข่าวว่า ทักษิณ ชินวัตร เคยเกี้ยวลูกชาย 4 ต. ของท่าน ให้ไปเป็นเลขาฯพรรค มาก่อนแล้ว เริ่มดีลกันอีกสักรอบจะเป็นไร ข่าวจะได้ชัดว่าจริงหรือเท็จกันแน่
(2) วัตถุประสงค์ของโครงการรับจำนำข้าวไม่ผิด แต่เริ่มผิดตั้งแต่ใช้คำว่า “จำนำ” แล้ว ซึ่งน่าแปลก ที่แค่ประเด็นเล็กน้อยตรงนี้ นายพิชัยยังไม่กล้าชี้ ว่าคุณทำอย่างนี้ มันผิดหลักการรับจำนำ ที่คนแก่ๆ อย่างฉัน เคยเห็นมาทั้งชีวิต มีที่ไหน ที่การรับจำนำจ่ายเงินแพงกว่าราคาของอย่างนี้ ใครจะมารับของคืนกันล่ะ ดังนั้น จงกล้าหาญให้มากพอ (เมื่อเทียบกับอายุ) ที่จะ “ให้สติ-ให้ความรู้” ประชาชนเสียเลยว่า โครงการนี้ เริ่มต้นก็ “ไม่สุจริต” แล้ว เป็นการเลี่ยงบาลี เลี่ยงกฎหมาย ทั้งๆ ที่โดยพฤตินัย คือการทุ่มซื้อ อันเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ
กลับไพล่ไปพูดว่า “...ต้องเห็นใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะการรับจำนำข้าว ผิดถูกยังไงไม่ทราบ แล้วแต่ศาลตัดสิน แต่ก่อนศาลตัดสิน เราต้องยอมรับความจริงว่าโครงการจำนำข้าว ช่วยเกษตรกรมีรายได้ดีขึ้น แต่วิธีการถูกหรือไม่อีกเรื่อง เพราะเป็นโครงการประชานิยม ต้องใช้เงินมาก น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจผิดพลาดตรงนี้ เจตนาดีอยากให้เกษตรกรมีเงินมากขึ้น แต่การบริหารจัดการอาจหละหลวม จนเกิดคอร์รัปชั่นมาก...”
(3) แน่นอนว่า ความถูกผิดฐาน “ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตและความเสียหายโดยไม่กำกับดูแล” นั้น ศาลจะเป็นผู้ตัดสิน แต่ความถูกผิดในประเด็นอื่นๆ เราบอกได้ ชี้ได้ ให้ความรู้แก่ประชาชนได้ ถ้ากล้าหาญพอ และไม่มีวาระซ่อนเร้นในการพูด ต้องกล้าหาญที่จะบอกว่า การช่วยเหลือประชาชนโดยที่ประเทศชาติไม่ฉิบหายไปเสียก่อนนั้น มันมีระบบอื่นที่ทำได้ ไม่เป็นภาระ และไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนี้ เช่น โครงการประกันรายได้ ที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทำ แต่ความที่ตัวเองตะบึงตะบอนงอนพรรคอยู่ใช่ไหม ทำให้สูญเสียความสง่างามที่จะพูดอะไรให้สมกับเป็น “ผู้ใหญ่” ได้อย่างที่ควรจะพูด
(4) ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่เงื่อนไขของความปรองดอง-ไม่ปรองดอง ที่แท้จริง เต็มที่ก็เป็นแค่ข้ออ้างและเครื่องมือต่อรองทางการเมืองเท่านั้น ซึ่งผมไม่คิดเลยว่า นายพิชัยจะเล่นในเกมเดียวกันกับพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช. ที่พูดถึงการปรองดองได้แค่เพียงเปลือก ได้อย่างตื้นๆ และอย่างหวังประโยชน์ทางการเมืองเช่นนี้
(5) การปรองดอง ที่ทำกันอยู่ มันเป็นปาหี่ในหมู่ผู้มีอำนาจ มันไม่ได้เป็นการสร้างความปรองดองในระดับประชาชนอย่างที่จริง มันเป็นความปรองดองกลวงๆ ที่มอง “ประชาชน” เป็นแค่หมากแค่เบี้ย บนกระดานของเกมการเมือง จึงเรียกแกนนำแห่งอำนาจกลุ่มต่างๆ ฝ่ายต่างๆ พรรคต่างๆ ไปนั่งคุยกัน กดหัวประชาชนไว้ข้างล่าง ระดับนำเอาไง ก็ตีขลุมไปว่าประชาชนจะเอาด้วย ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ประชาชนจึงไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลยกับเรื่องความปรองดอง การปฏิรูป รัฐธรรมนูญ และยุทธศาสตร์ชาติ เป็นแค่ “พลทหาร” ที่รอทำตามมติของผู้บังคับบัญชาของแต่ละหน่วยเท่านั้น เช่น ลุงกำนันบอกว่าต้องรับร่างรัฐธรรมนูญ กองกำลังนกหวีดก็รับ แกนนำ นปช. บอกว่า อย่าไปโกรธเลย ที่พรรคเพื่อไทยออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้คนเสื้อแดงตายแทน แล้วยัดการนิรโทษกรรมให้ทักษิณเข้ามาในกฎหมาย ก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกัน กับการเป็นแค่แพะ แกะ หรือ “หัวหมู” ในพิธีกรรมบูชา เราจึงเห็นว่า เวลาจะทำพิธีปรองดอง เขาจึงเอาแต่ระดับบังคับบัญชาไปนั่งตกลงกันแค่นั้น ข้ามหัวประชาชนไป เพราะมันทำตัวของมันเสมือนเป็นได้แค่ “พลทหาร” ของกองกำลังกีฬาสี นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนต้องประกาศความเป็นเสรีชน เพราะหากยังเป็นทาสของสีหรือยี่ห้อทางการเมือง เขาก็จะปฏิบัติกับเราเช่นนี้ตลอดไป รวมทั้ง “วิธีคิด” เรื่อง “รัฐบาลแห่งชาติ” ของนายพิชัยด้วย
(6) รัฐบาลแห่งชาติของนายพิชัยคืออะไร คือการเอาตัวแทนระดับบังคับบัญชาของแต่ละกองทัพไปรวมตัวกันเป็นรัฐบาลนั่นเอง ประชาชนช่างมัน ไม่ต้องส่งเสียง ไม่ต้องแสดงมติว่าจะเลือกใคร ไปเป็นตัวแทนอุดมการณ์ หลักการ และความต้องการของตัวเอง เป็นแค่ไพร่ทาสในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่เจ้าขุนมูลนายเขามีหน้าที่ตกลงกันเพื่อ “ประนอมอำนาจ”
(7) แล้วระบบ “ตัวแทนที่แท้จริง” จะเอาไปทิ้งกันไว้ตรงไหน จะบบการดุลและคานอำนาจ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร การตรวจสอบเอาผิดอย่างตรงไปตรงมาตามกฎหมายจะมีไหม รัฐบาลแห่งชาติจึงเป็นภาวะ “คิดตื้น” มักง่าย ได้ประโยชน์ของระดับนำทางการเมืองเท่านั้น
(8) ผมคิดว่าบ้านเมืองต้องเลือก ว่าถ้ายังขัดแย้ง แตกแยก ยกพวกตีกันอย่างไร้เหตุไร้ผล ยอมให้แกนนำชี้นิ้วสั่งแล้วกรูกันทำตามเหมือนสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ทางการเมือง จนเกิดจลาจล กองทัพก็ต้องยกทัพออกมาควบคุม แต่หากไม่อยากให้เกิดสภาพเช่นนั้น ก็ต้องเป็นประชาชนเอง ที่ต้องเข้มแข็งในอันที่จะแสดงความเป็นเสรีชนประชาธิปไตย สร้างระบบตัวแทน การดุลและคายอำนาจ การตรวจสอบเอาผิดให้เข้มแข็งจริงจัง ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ความรู้สึก วางความเป็นพวกเป็นพ้องลง และเอาประโยชน์ของประเทศชาติเป็นใหญ่ เอาปัญหาของประเทศชาติเป็นใหญ่ ไม่ใช่เอาปัญหาของตัวเองเป็นใหญ่ ดังนั้น ถ้าไม่พร้อมจะคืนอำนาจให้ประชาชน ก็อยู่กับ คสช. ต่อไป แต่ถ้าจะคืนอำนาจให้ประชาชน ก็ต้องคืนให้อย่างแท้จริง ให้เขาได้เลือกตัวแทนของเขา ให้ตัวแทนของเขามีสิทธิมีศักดิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่เอา สว. แต่งตั้งจาก คสช. เข้ามาแทรกแซง
(9) รัฐบาลแห่งชาติดังกล่าว จะเกิดในภาวะที่คนทั้งชาติ “ยอมแพ้” ต่อพวกปลุกปั่นทางการเมือง แล้วเอาสมัครพรรคพวกทางการเมืองมาจับบ้านเมืองเป็นตัวประกัน เกิดในว่าวะที่เราไม่มีวันหันหน้ามาอยู่ร่วมกันด้วยเหตุผลได้ ยึดมั่นในสี ในพรรค ในอุดมการณ์ โดยไม่ยอมรับความต่างและมติส่วนรวมกันต่อไป ซึ่งเรามาสู่จุดนั้นแล้วหรือ?
(10) เราอาจจะพึงพอใจในความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองยามที่ปกครองด้วย คสช. แต่มันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปไม่ได้ มันควรเป็นแค่ “ชั่วคราว” และในภาวะชั่วคราว การปฏิรูปต้องเกิดขึ้นจริงจัง ซึ่งบัดนี้มีอะไรบ้างที่ได้รับการปฏิรูป 3 ปีล่วงไป อะไรบ้างที่ปฏิรูปแล้ว? 3 ปีที่ล่วงไป ประชาชนได้ร่วม “กำหนดอะไร” ให้แก่วันข้างหน้าของตัวเองบ้าง แล้วยังจะมีคนแก่ออกมาบ่นเพ้อให้ชนชั้นนำทางการปกครอง เหยียบหัวประชาชนไปประนอมอำนาจกัน แบ่งๆ อำนาจกันถือ ในนาม “รัฐบาลแห่งชาติ” กันอีกหรือ
ถึงเวลาแล้ว ที่ คสช. ต้องทำโรดแมปให้เป็นโรดแมป กฎหมายลูกใดควรเสร็จ ต้องเสร็จ ให้ความมั่นใจแก่คนทั้งชาติว่า บ้านเมืองจะเดินหน้าไปตามกรอบ กติกา ไม่มีการยื้อเวลาหรือต่อเกมแห่งอำนาจ โดยที่ประชาชนเองก็ต้องให้ความมั่นใจ ว่าจะไม่ย้อนกลับไปเป็นเครื่องมือเผาทำลายชาติให้แก่แกนนำกลุ่มใดอีก เว้นแต่เป็นการรวมตัวกันเชิงตรวจสอบที่มีเหตุและผลเท่านั้น
ส่วนรัฐบาลแห่งชาติตามสูตรสั่วๆ ที่เสนอมา
มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราไม่มีประเทศชาติที่ชื่อว่าชาติไทย
มันจะเกิดขึ้นได้ก็ในภาวะ “ชาติหมา” เท่านั้น
แข็งแรงและเป็นอิสรชนกันเสียที อยู่ร่วมกันอย่างปราศจากสี เหลือมีแค่เหตุและผลกันเสียทีเถิด ประชาชนชาติไทย จะได้ไม่มีใครเอาความขัดแย้งของเราไป “สมประโยชน์” กัน อย่างที่กำลังชี้นำและพยายาม ซึ่งผลดีที่ปู่พิชัยออกมาชี้เส้นทางนี้ ตกอยู่กับฝ่ายที่กำลังถูกตรวจสอบเอาผิดโดยตรง...และเต็มๆ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี