ความคิดและความพยายามช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะช่วงที่ทุกคนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า เศรษฐกิจกำลังย่ำแย่ เงินขาดมือ ค้าขายไม่ดีเหมือนก่อน รายได้ลดลง หางานยาก แต่นอกจากความตั้งใจและความพยายามแล้ว ย่อมต้องเลือกใช้คนให้ถูกกับงาน ที่สำคัญกว่านั้นต้องดูความจริงใจว่าคิดจะช่วยเศรษฐกิจให้เข้ากระเป๋าใคร?
ก่อนหน้านี้ความหวังดีของรัฐบาลหลายครั้งดูจะไม่เข้ารูปเข้ารอยกับความต้องการประชาชน ทั้งกรณีห้ามนั่งท้ายรถกระบะ บังคับรัดเข็มขัดนิรภัยที่เบาะหลัง หรือล่าสุดการปฏิรูปสายรถเมล์ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ก็สะท้อนความไม่เข้าใจปัญหาและวิถีชีวิตประชาชนของมือไม้ที่รัฐบาลใช้งานอยู่
อย่างไรก็ดี เรื่องสาระสำคัญและเป็นจุดวิกฤติจริงๆของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศตอนนี้ คือเรื่องปากท้องและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะระดับฐานรากจนถึงชนชั้นกลางที่ติดลบต่อเนื่องสู่ปีที่ 3 แล้ว
อาจจะจริงถ้ามีใครบอกว่า ปีนี้จีดีพีไทยโดยรวมดีขึ้น เพราะแท้จริงอาจมาจาก 2 ปัจจัย คือ 1.เพราะเศรษฐกิจปีก่อนหน้าตกต่ำต่อเนื่องมา มันยากจะต่ำกว่านี้แล้ว 2.เป็นไปได้หรือไม่ที่ว่าจีดีพีโตขึ้น เมื่อเจาะลึกไป กลับเป็นรายได้เข้ากระเป๋าเฉพาะเศรษฐีและนายทุน จีดีพีโตขึ้นจึงไม่ได้สะท้อนการฟื้นตัวของปากท้องประชาชนฐานราก ที่ภาคเศรษฐกิจแท้จริงกำลังดำดิ่งสู่จุดวิกฤติและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเข้าไม่ถึงแก่นของปัญหา แก้ไม่ตรงจุด ไร้ซึ่งความเข้าใจคนจนและผู้มีรายได้น้อย
ตลอด 3 ปีรัฐบาล คสช.พบว่าผ่านร่างกฎหมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจหลายสิบฉบับ พบคำประกาศของพล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงทีมเศรษฐกิจเกี่ยวกับหลายสิบโครงการการลงทุนขนาดใหญ่ ไม่ว่าโครงการด้านการคมนาคม โครงการเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับผลักดันธุรกิจสตาร์ท อัพ จนถึงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ การลงทุนทั้งหมดนี้ต้องใช้งบประมาณประเทศหลายล้านล้านบาท คิดว่าไปถูกทางแล้วหรือ?
อย่าลืมว่าการลงทุนที่คุ้มค่าต้องเป็นการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้อย่างแท้จริงต่อประชาชน ซึ่งจะขยายผลวนกลับมาเป็นภาษีให้รัฐบาลในอนาคต แล้วรัฐบาลนี้มีรายได้จากภาษีประชาชนหรือไม่? ถ้ามี มากน้อยเพียงไหน? คุ้มหรือไม่กับงบฯมหาศาลที่ลงทุนไปตลอด 3 ปี? จนเงินคงคลังตอนนี้เหลือเพียง 258,000 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นยอดเงินคงคลังต่ำที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี และเมื่อเทียบกับปี 2556 ที่เป็นยุครัฐบาลพลเรือน เงินคงคลังมีกว่า 6 แสนล้านบาทนั้น เท่ากับลดลงไปถึง 346,600ล้านบาทเศษ!!!
ทั้งหมดเป็นเช่นนี้เพราะวิสัยทัศน์การบริหารงานของใคร? ทีมเศรษฐกิจใดคือผู้วางแผนเลือกใช้จ่ายเงินลงทุน ทำให้ทุกวันนี้มีแต่เงินออกจากกระเป๋ารัฐ สุดท้ายเงินสดหมุนเวียนที่กลับมา เงินคงคลังของรัฐบาลจึงมีสภาพเช่นนี้
ขณะที่งบประมาณส่วนหนึ่งลงทุนไปในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐ ที่เอาเข้าจริงเงินเหล่านี้ไม่ได้ตกถึงมือประชาชน เพราะผู้ได้ประโยชน์โดยตรงมีเพียงเอกชนรายใหญ่ไม่กี่เจ้า เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟรางคู่ โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส โครงการมอเตอร์เวย์ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ? จริงอยู่ ถ้าโครงการทั้งหมดทำเสร็จ ประชาชนก็จะได้ใช้บริการ แต่ถามว่าต้องเสียเงินหรือไม่? นั้นจึงเป็นคำตอบว่าสุดท้ายแล้วโครงการต่างๆ ของรัฐบาลเอื้อผลประโยชน์เข้ากระเป๋าใคร?
อีกประเด็นที่ต้องตั้งคำถามทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดนี้คือ การดำเนินนโยบายการค้าทั้งส่งออกและนำเข้ากับต่างประเทศ ที่สุดท้ายแล้วช่วยใครกันแน่ ยกตัวอย่าง กรณีข่าวกระทรวงพาณิชย์ปรับลดภาษีนำเข้าข้าวสาลีต่างประเทศจากเดิมเก็บ 27% ให้ยกเว้นภาษีทั้งหมด ใช่หรือไม่? แต่ที่แน่ๆ การยกเว้นภาษีดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงเดียวกับที่ผลผลิตออกมาพอดี ซึ่งอย่าลืมว่าผู้ประกอบการในประเทศไม่มีใครอยากมีต้นทุนสูง จึงเลือกไปซื้อข้าวสาลีที่ได้ยกเว้นภาษีแทนซื้อจากเกษตรกร เพราะราคานำเข้าถูกกว่า? ทำให้ผลผลิตเกษตรกรขายไม่ได้ หากใครขาย ก็จะถูกกดราคาโดยปริยาย ใช่หรือไม่? เช่นนี้เกษตรกรที่มีปัญหารุมเร้าอยู่แล้ว พอถึงฤดูกาลขายผลผลิตแทนที่จะลืมตาอ้าปากได้ ต้องประสบปัญหาอีกครั้งจากนโยบายรัฐที่มีมุมมองคับแคบ ประสงค์ดีต่อผู้ผลิตแต่ลืมคิดถึงเกษตรกรใช่หรือไม่? เรื่องนี้ต้องพิจารณาให้ดีและถี่ถ้วนว่า สุดท้ายการดำเนินโยบายการค้าต่างประเทศ ส่งผลบวกต่อใครและส่งผลลบต่อใคร?
หรืออีกตัวอย่างกรณีการส่งออก ไม่นานมานี้ พบว่ากระทรวงพาณิชย์หวังดีประกาศชวนนักธุรกิจจีนมาลงทุนสินค้าจำพวกเกษตรในไทย เช่น มันสำปะหลัง อ้างทำนองว่า จะช่วยกระตุ้นราคาสินค้าเกษตรในประเทศได้ ผลที่ตามมาพบว่า นักธุรกิจจีนมาจริง แต่มาในรูปแบบตั้งบริษัทในไทย แล้วให้คนไทยถือหุ้นเป็นนอมินีแทนใช่หรือไม่? ผลเลยกลายเป็นบริษัทจีนสัญชาติไทย จริงอยู่ที่เข้าเงื่อนไขของรัฐไทย แต่สิ่งที่เกิดมากกว่านั้น เท่ากับเปิดโอกาสให้บริษัทจีนสัญชาติไทยเหล่านี้ได้ประมูลซื้อมันสำปะหลังจากพ่อค้าที่ไปกว้านซื้อมาประมูลส่งขายให้แทน ทำให้บริษัทจีนนอกจากไม่ต้องดิ้นรนไปหามันสำปะหลัง ต่อรองราคาเองแล้ว ยังเลือกเอาราคาถูกที่สุด ได้ปริมาณเยอะที่สุด เพื่อส่งออกไปได้อีกด้วย จริงหรือไม่? ซึ่งเท่ากับเป็นการกดสินค้าเกษตรโดยปริยาย
ขณะเดียวกันบริษัทสัญชาติไทยของคนไทยแท้จะส่งมันสำปะหลังไปขายจีนก็ไม่ได้เพราะถูกปิดกั้นจากกลไกการค้าของจีน ประกอบกับมันฯถูกกว้านซื้อไปก่อนหน้า ทำให้เหลือแต่ของคุณภาพไม่ดีอยู่ในมือและอาจแพง จริงหรือไม่? ถ้าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง หน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ไม่ว่ากรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการค้าต่างประเทศ ตลอดจนตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ทำอะไรอยู่? ทำไมปล่อยให้คนไทย เกษตรกรไทยถูกเอาเปรียบ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พูดดีว่า จะส่งออกสินค้าเกษตรไปขายได้มากขึ้น? นโยบายที่ดีแต่เปลือกที่เหมือนจะช่วยผู้มีรายได้น้อย แต่สุดท้ายกระบวนการที่แท้จริงไม่ใช่เช่นนั้น ผู้ได้ประโยชน์แท้จริงไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายแต่แรกใช่หรือไม่?
ที่ตลกแต่ขำไม่ออกอีกเรื่องคือนโยบายสนับสนุน SME ที่ใช้งบฯมหาศาลดันเรื่องสตาร์ท SME และสตาร์ทอัพ แต่กลับปล่อยให้หน่วยราชการจัดการผู้ค้ารายย่อยที่ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง เข้มแข็งอยู่แล้วอย่างหาบเร่ แผงลอย ไปกำจัดทางทำมาหากิน อีกทั้งเป็นการสวนทางกับการประกาศสนับสนุนตั้งสตาร์ท อัพและสตาร์ท SME ประหนึ่งสับสนในความคิดตัวเอง สุดท้ายเป็นเรื่องเศร้าที่ขำไม่ออก
ส่วนโครงการประชารัฐ ที่รัฐบาลพร่ำบอกว่าแตกต่างจากประชานิยมของระบอบทักษิณ ที่ทำประเทศเสียหายมหาศาล ประชาชนเป็นหนี้มาก หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์? ถามว่าเอาเข้าจริงนโยบายประชารัฐแตกต่างจากประชานิยมสมัยยิ่งลักษณ์ จริงหรือ? เพราะตลอด 3 ปีรัฐบาลชุดนี้ ก็มีโครงการประเภทแจกแถม โดยใช้งบประมาณแผ่นดินเรื่อยมา โดยเฉพาะเดือนหน้าที่จะจัดสวัสดิการชุดใหญ่ให้ผู้มีรายได้น้อย ทั้งให้เงินค่าครองชีพ ให้ขึ้นรถโดยสารสาธารณะฟรี รวมถึงโครงการแจกอีกสารพัด ถามว่าโครงการโปรยแจกเช่นนี้ตอบโจทย์ช่วยเหลือประชาชนจริงหรือ? แก้ปัญหาระยะยาวของผู้มีรายได้น้อยได้จริงหรือ? สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างยั่งยืนจริงหรือ? แม้ความจริงคนส่วนใหญ่ยังต้องการรายได้จากการมีอาชีพมากกว่าได้เงินฟรีเป็นครั้งคราว การแจกทำนองนี้ก็ยังขัดหลักเศรษฐกิจพอเพียงและคำสอนที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ร.9 พระราชทานพระราชดำรัสให้พสกนิกรไทยว่า“..เราจะช่วยเหลือเขา ให้เขาสามารถ
ช่วยเหลือตัวเองได้...”
อีกปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจไทยที่เรื้อรังมานาน และรัฐบาลไม่ว่ายุคใดแม้แต่คสช.ยุคนี้ ก็ไม่สามารถจัดการได้คือ การผูกขาดธุรกิจหลายอย่างของเอกชนรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ทั้งหมดล้วนถูกครอบงำโดยนายทุนไม่กี่คนใช่หรือไม่? ซึ่งส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและผู้ค้ารายย่อยมาก เพราะการทำเช่นนี้ ไม่ต่างจากมุ่งทำลายคู่แข่งทางการค้า ไม่ต่างกับการผูกขาดทุกผลประโยชน์ในระบบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ใช่หรือไม่? ซึ่งท้ายที่สุดระบบผูกขาด ย่อมเอื้ออำนวยต่อการกำหนดราคาสินค้าของรายใหญ่ใช่หรือไม่? ส่งผลโดยตรงต่อผู้ผลิตรายย่อยที่ต้องตายไปและประชาชนผู้บริโภคทั้งหมดที่ต้องรับภาระ คำถามคือ รัฐบาลคสช.และหน่วยราชการใต้สังกัด ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้จริงๆ หรือ? เหตุใดปล่อยให้กลุ่มนายทุนเข้ามากอบโกบผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของประชาชนผู้มีรายได้น้อย หาเช้ากินค่ำ ที่จำใจต้องซื้อสินค้าและบริการ อย่างเลือกไม่ได้?
อีกเรื่องที่ไม่พูดคงไม่ได้ คือนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลทุกวันนี้ เป็นผลพวงจากการให้ข้าราชการเป็นผู้คิด กำหนดนโยบาย วางแผนงบประมาณ และขับเคลื่อนสู่ประชาชน เบ็ดเสร็จในกลุ่มเดียวใช่หรือไม่? ทั้งๆ ที่ต้องเข้าใจว่าระบบราชการไม่ได้มีความรู้ความสามารถหรือเข้าใจปัญหาและความต้องการแท้จริงของประชาชนอย่างถ่องแท้ ระบบราชการเองไม่ได้เอื้อให้เป็นเช่นนั้น เพราะรายได้ และการมีสถานะตำแหน่งของข้าราชการ ไม่ได้ขึ้นกับการยอมรับของประชาชน จึงไม่แปลกที่จะเห็นคำเปรียบเทียบข้าราชการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ซึ่งอาจไม่เป็นปัญหานัก หากคนกำหนดนโยบายไม่ใช่ข้าราชการ
ในเมื่อคนของรัฐบาลบางคนเป็นผู้คิดค้นและขับเคลื่อนประเทศให้คสช.ยังคิดและทำงานให้ คสช.เช่นนี้แล้ว ก็ไม่ต่างกับคสช.ค่อยๆ โดนวางยาอย่างไม่รู้ตัว และเมื่อวันที่หมดความนิยมหรือวันที่ความยากจนข้นแค้นถึงขีดสุด อย่าได้แปลกใจว่าเหตุใดหลายกลุ่มคนในประเทศ ยังคงคิดถึงคนที่ชื่อ“ทักษิณ” อยากเป็นกำลังใจให้คสช.สู้ต่อไป แต่ต้องยอมเปลี่ยนบางอย่างเพื่อความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของประเทศ...
………………………….
“มาตรว่าอดกลั้นเป็นความเจ็บปวด แต่มีบางคราก็เป็นหลักวิชา
คนที่เข้าใจในหลักวิชานี้ ปกติมักได้รับผลประโยชน์ที่พวกมันรอคอยอยู่เสมอ”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง ดาบจอมภพ)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี