คุณผู้อ่านรู้สึกเหมือนผมมั้ยครับว่า...หลายต่อหลายครั้งที่รัฐบาลนำกฎหมายมาตรา 44 มาใช้ในเรื่องที่เล็กเกินไป
ทุกคนทราบดีว่ามาตรา 44 คืออะไร คำตอบก็คือ มันคืออะไรก็ได้ !
จะเสกอะไรก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ให้ดีหรือให้ไม่ดีก็ทำได้หมด และเท่าที่ผ่านมาก็ถูกใช้จัดการกับข้าราชการที่มีรายงานบอกว่า คนเหล่านี้ไม่ดีก็หลายคนอยู่ มีการจัดการปลดข้าราชการย้ายเข้ากรุไปแต่ก็ย้ายกลับเข้ามาใหม่อีก ก็หลายคนเช่นกัน แต่ไม่เคยมีใครหยิบยกประเด็นประสิทธิภาพของการใช้กฎหมายนี้ขึ้นมา
ทุกคนทราบดีว่าขณะนี้บ้านเมืองอยู่ในภาวะที่เพิ่งผ่านความขัดแย้งทางการเมืองมาไม่นาน ทุกคนก็คาดหวังว่าอะไรต่อมิอะไรจะดีขึ้นมีการ “ปฏิรูป” อย่างแท้จริง อย่างถึงพริกถึงขิงและที่สำคัญที่สุด อย่างถอนรากถอนโคน
ถ้าเราต้องการการปฏิรูปที่ประสบความสำเร็จจริงแล้ว เราจะไม่เห็นในสิ่งที่เราเห็นอยู่แบบนี้ เช่น การใช้มาตรา 44 สั่งให้ไม่ต้องกรอกใบ ตม.ที่สนามบินเวลาคนไทยเข้าหรือออกจากประเทศ
กรณีตัวอย่างนี้ที่ผมอยากหยิบยกมาสะท้อนก็คือว่า เราต้องมองย้อนไปดูที่ต้นเหตุรากของปัญหาเรื่องนี้ ปัญหาคืออะไร ปัญหาคือการที่คนไทยได้รับบริการที่ไม่มีประสิทธิภาพจากหน่วยงานที่สนามบิน ซึ่งก็ได้แก่ ตม.หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ทอท.การท่าอากาศยานฯ รวมไปถึงบริษัท Outsource ต่างๆ ที่ทอท.จ้างมาจัดการเรื่องต่างๆ อีกที นี่ยังไม่ใช่ต้นตอที่เป็นรากจริงๆ ของปัญหา แต่เป็นเพียงตัวอย่างที่เกิดจากปัญหาที่แท้จริงนั่นคือ “ระบบ ระเบียบราชการ” ครับ
ระบบ ระเบียบ กฎเกณฑ์ทางราชการของเรามาจากอะไร ก็มาจากการออก “กฎหมาย” ทีนี้ผมจะย้อนไปให้ดูว่ากฎหมายที่ว่ามันกลับกลายมาเป็นรากของปัญหาของเมืองไทย เป็นต้นตอของความไม่พัฒนา ความล่าช้า ความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐได้อย่างไรบ้าง
คุณบรรยง พงษ์พานิช แกเคยเล่าไว้ว่า...เมืองไทยเราไม่เคยคำนึงถึงเรื่องต้นทุนของกฎหมายกฎระเบียบต่างๆซึ่งรวมไปถึงกลไกกำกับตรวจสอบด้วยเราออกกฎออกระเบียบกันปีหนึ่งหลายร้อยเรื่องโดยไม่เคยไปรื้อทิ้งของที่มันใช้ไม่ได้ไม่มีประโยชน์ได้ไม่คุ้มเสียกันเลยมันเพิ่มต้นทุนในการดำเนินชีวิตและต้นทุนในการประกอบการมากมายบั่นทอนศักยภาพในการแข่งขัน...นอกจากนั้นเจ้ากฎระเบียบนี่แหละครับเป็นสินค้าชั้นดีเลยให้กับนักคอร์รัปชั่นทั้งหลาย
ขยายความต่อจากตอนต้นก็คือ นอกจากจะเป็นการไร้ประสิทธิภาพแล้ว ยังเป็นช่องให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นได้อย่างใหญ่หลวง และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในปัจจุบัน ใครทำธุรกิจรู้ดีครับว่า เวลาท่านจะทำอะไรกับภาครัฐหนึ่งเรื่องท่านต้องขอเอกสาร ขอใบอนุญาตหลายต่อหลายใบ หลายต่อหลายแผนก และแน่นอน ต้องผ่านตัวข้าราชการหลายต่อหลายคน นั่นเหมือนถึงด่านในการจ่ายเงิน เหมือนเวลาคนที่เขาจะแต่งงานแล้วเขาต้องกั้นประตูเงินประตูทองขอเงินผ่านทางนั่นแหละครับ
ถ้าให้เจาะลงไปต่อกับเนื้อหาที่คุณบรรยงได้สรุปเอาไว้
เรื่องนี้มีอยู่ 3 มาตรการที่คิดว่าช่วยบรรเทาปัญหาได้มากคือ
1.Regulation Impact Assesment (RIA)...ก่อนออกกฎออกระเบียบทุกครั้งจะต้องมีการประเมินต้นทุนผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดกับทุกฝ่าย ยกตัวอย่าง การที่ป.ป.ช.สั่งให้เอกชนทุกรายที่ค้าขายกับรัฐต้องทำบัญชีแยกพิเศษนำส่งสรรพากร ทำให้หลายหมื่นรายต้องรับภาระ สรรพากรก็ต้องสร้างโกดังสร้างระบบเก็บเอกสารปีละหลายล้านหน้า มีต้นทุนปีละหลายพันล้านบาท ซึ่งป.ป.ช.ก็แทบไม่เคยใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้เลย
...ในประเทศไทยแทบไม่เคยมีการประเมินเรื่องนี้อย่างจริงจังเลย (ตัวอย่างในรัฐธรรมนูญนั่นแหละครับ) เราสักแต่ใช้มโนจินตนาการอยากออกอะไรก็ออกมา ซึ่งต่อให้หวังดีก็เป็นโทษมากกว่าคุณ
สนช.หน่วยงานที่อยู่ในรัฐสภาออกกฎหมายแทนสส.ภูมิใจเป็นอย่างมากว่าออกกฎหมายได้เยอะอย่างนั้นอย่างนี้แต่ไม่เคยมีเกณฑ์ชี้วัดเลยว่า กฎหมายที่ออกมานั้นช่วยเหลือเกื้อกูลประชาชน เป็นคุณประโยชน์ต่อประชาชนมากน้อยแค่ไหนหรือเป็นโทษกันแน่เพราะทับซ้อนทางกฎหมายก่อให้เกิดอุปสรรคในการทำมาหากินหรือแม้แต่เป็นการเพิ่มช่องทางในการหากินของเจ้าหน้าที่รัฐ
2.Sunset Legislation หรืออาจเรียกว่า “กฎหมายอาทิตย์อัสดง” คือในกฎบางประเภทที่มักจะสมควรต้องทบทวนเมื่อเวลาและบริบทสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป เขาจะกำหนดให้กฎหมายมีอายุแน่นอนเมื่อถึงกำหนดจะได้บังคับให้ต้องมีการทบทวนปรับปรุงหรือยกเลิกไปถ้าไม่คุ้ม ทั้งนี้ เขาก็จะประเมินกันตั้งแต่ว่า มูลเหตุที่ทำให้จำเป็นต้องมีกฎหมายนั้นยังมีอยู่หรือไม่ ถ้ายังมี กฎหมายนั้นยังเป็นมาตรการดีที่สุดสำหรับรับมือกับมูลเหตุเช่นนั้นอยู่หรือไม่ และถ้ายังเป็น จะมีวิธีใดที่จะปรับปรุงกฎหมายให้มันลดภาระต่อเอกชนและประชาสังคมได้อีก ว่าแล้วก็แก้ไปตามนั้น
โดยนัยนี้กฎหมายที่ไม่จำเป็นก็จะถูกโละออกแต่แม้กฎหมายที่ไม่ถูกโละก็จะได้ตบแต่งตัวเสียใหม่ไม่เร่อร่าล้าสมัยอีกต่อไป
ทุกอย่างมีอายุขัยกฎหมายก็เช่นกันเชื่อมั้ยครับว่าพ.ร.บ.กทม.ของกรุงเทพฯเราล้าหลังมากขนาดว่าหลายๆ เกณฑ์การเก็บภาษีที่เกี่ยวกับท้องที่ ยังเป็นเรตอัตราที่โบราณ ในช่วงที่เรามีนายกฯ เป็นจอมพลกันอยู่เลย แล้ว 4.0 ของเมืองหลวงของไทยอย่างกรุงเทพฯ จะไปโตทันเมืองอื่นๆได้อย่างไร
3.การทบทวนกระบวนการต่างๆ ทั้งด้านประสิทธิภาพและความโปร่งใส...เชื่อไหมครับประเทศไทยมีใบอนุญาตทั้งหมดเกือบ 1,700 ชนิดที่ประชาชนและผู้ประกอบการต้องขอจากรัฐทั้งหมดนี้มีกระบวนการที่เกี่ยวข้องอยู่ประมาณ 10,500 กระบวนการ...ซึ่งเมื่อตอนต้นปีรัฐบาลนี้ได้ออก “พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558” ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้ว ระบุให้ทุกหน่วยของรัฐต้องมีวิธีการที่ชัดเจนมีระยะเวลากำหนดเปิดเผยให้มีการร้องเรียนได้ให้ปรับปรุงขั้นตอนต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพและโปร่งใสถ้ามีการใช้ดุลยพินิจก็ต้องมีเกณฑ์ที่ชัด
...ทั้งหมดนี้เริ่มใช้แล้วซึ่งก็แน่นอนครับในระยะต้นอาจมีขลุกขลักบ้างบางหน่วยงานหรือจนท.บางคนอาจแกล้งรวนทำให้ไม่สะดวกหนักขึ้นแต่ถ้าประชาชนผู้ใช้บริการร่วมมือกันช่วยติดตามตรวจสอบกดดันร้องเรียนในกรณีที่ผิดปกติในที่สุดทุกอย่างน่าจะดีขึ้นคอร์รัปชั่นประเภท “ค่าน้ำร้อนน้ำชา” ก็จะหดหายไป รวมทั้งกรณีอย่าง “รง.4” ก็อาจจะไม่เกิดขึ้นอีก
ทั้งหมดสามข้อนี้โดยรวมก็เป็นไปตามหลักการ “Administrative Simplification” คือทำระบบราชการให้รวบรัด ทั้งนี้เพราะต่อให้ไม่มีเรื่องค่าน้ำร้อนน้ำชาเข้ามาเกี่ยวข้อง งานปกครองโดยตัวของมันเองมันมีราคาสูงและก็เป็น “ต้นทุน” แก่ประเทศอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนโดยตรงกล่าวคือค่าใช้จ่ายของเอกชนในการดำเนินการหรือกรอกข้อมูลทำงานเอกสารต่างๆ ตามที่กฎหมายบังคับหรือต้นทุนโดยอ้อมกล่าวคือ การที่เอกชนไม่ยอมผลิตหรือสร้างสรรค์เต็มศักยภาพเพราะคร้านจะผ่านขั้นตอนอันยืดยาดซ้ำซ้อนของกฎหมาย ดังนั้น หากไม่คอยควบคุมระบบข้าราชการและงานปกครองเหล่านี้ให้มีอยู่แต่เท่าที่จำเป็น ทรัพยากรของประเทศมีเท่าไหร่ ก็จะพาลมาหมดเปลืองกับต้นทุนเหล่านี้ไม่เหลือพอไปแข่งอะไรกับใครได้
ขออนุญาตสรุปเลยว่าที่ผมเกริ่นถึงมาตรา 44 เอาไว้ตอนต้นนั้นมันสะท้อนว่า ยิ่งรัฐบาลใช้มาตรา 44 ในการทำเรื่องจุกจิกตะเข็บฝอยมากเท่าไหร่ยิ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นหนักๆ แล้วว่ากลไกราชการเดิม ข้อกฎหมาย กฎระเบียบเดิมๆ มันล้าสมัยใช้ไม่ได้ ท่านจึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องปรับปรุง ปฏิรูปและพัฒนาเรื่องนี้
ซึ่งเรื่องหนึ่งที่มาถูกทางและทำได้ดีมากแล้วคือ ร่างพ.ร.บ.การกำกับดูแแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ...สำหรับประเทศไทย หากรัฐวิสาหกิจไม่ง่อยเปลี้ยเหมือนที่ผ่านมา พ้นจากวงโคจรการโกงกินของนักการเมือง รัฐวิสาหกิจจะเป็นเครื่องมือกลไกหลักในการพัฒนาให้ไทยเราพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้อย่างแท้จริงครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี