ปัญหา “ความขัดแย้งไม่รู้จบ” ของประเทศไทย ส่วนหนึ่งเกิดจาก “การหล่อเลี้ยง” ของ “สื่อมวลชน” แทนการหาคำตอบมา “เติมคำในช่องว่าง” สื่อไทยกำลังคึกคะนองกับการ “ถ่างช่องว่าง” ให้ห่างขึ้นและกำลัง “หารายได้” จากการ “ค้าขายความขัดแย้ง” กิน!!
ตัวอย่างในสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ผมคิดว่า “สื่อคึก” และ “สนุกขาย” ข่าวนักศึกษาชายคนหนึ่ง ตั้งคำถามกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
“ไทยโพสต์” เป็นสำนักข่าวที่รายงานข่าวนี้อย่างเรียบง่ายที่สุด และมีการ “ตรวจสอบข้อเท็จจริง” โดยรายงานว่า
12 ก.ย. 2560-เวลา 10.00 น. ที่คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงาน“รัฐศาสตร์วิชาการ” ได้เชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “จากนักวิชาการสู่นายกรัฐมนตรี : ภาพการเมืองที่เปลี่ยนไป” โดยระหว่างการบรรยายนั้น ได้มีกลุ่มนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 ประมาณ 4 คน นำโดย นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดได้ชูป้ายข้อความว่า “...unfortunately, some people died น่าเสียดายที่บางคนก็ตาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2555” นอกจากนี้ยังมีภาพทหารก้มเก็บปลอกกระสุนด้านหลังมีป้ายที่เขียนว่าเขตใช้กระสุนจริง และภาพมุมสูงที่มองเห็นร่างไร้วิญญาณของ สมาพันธ์ ศรีเทพ ซึ่งเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมในปี 2553 โดยเสียชีวิตจากการถูกยิงเข้าที่บริเวณศีรษะ ส่วนนายอภิสิทธิ์ก็ดำเนินการบรรยายต่อไปอย่างเรียบเฉย ไม่มีท่าทีต่อการแสดงออกของนักศึกษาแต่อย่างใด
ภายหลังการบรรยาย นายพริษฐ์หรือเพนกวิน ได้เข้าไปถามนายอภิสิทธิ์ว่า “ท่านคิดอย่างไรกับการที่เด็กอายุ 17 ถูกยิงตายที่รางน้ำ” ด้านนายอภิสิทธิ์ตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ”
อย่างไรก็ตาม ต่อมานายอภิสิทธิ์ ได้โพสต์คลิปวีดีโอพร้อมข้อความ ชี้แจง โดยนายอภิสิทธิ์ ระบุในเพจเฟซบุ๊ก Abhisit Vejjajiva ว่า จากการที่มีสื่อบางฉบับและบุคคลกล่าวอ้างว่า ผมตอบคำถามของนักศึกษาเกี่ยวกับกรณีการเสียชีวิตของเด็กในเหตุการณ์ปี 2553 และบิดเบือนว่า ผมตอบว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ หรือเป็นไปตามขั้นตอน นี่คือคำตอบจริงที่ไม่มีข้อความดังกล่าวเลยครับ
โดยในคลิป นายอภิสิทธิ์ได้ตอบคำถามนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ระบุว่า
“ผมเสียใจกับตัวเขา และครอบครัว และยืนยันว่าไม่มีใครอยากให้มีความสูญเสียแบบนี้เกิดขึ้น และก็ไม่เคยอยากให้เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่สามารถทำได้และผมสนับสนุนในเรื่องของการค้นหาความจริงที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมในทุกกรณี เพื่อที่จะทำให้ความเป็นธรรม อย่างน้อยที่สุดกับครอบครัวของเขา และดวงวิญญาณของเขา”
จากข่าวนี้ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นและน่า “ถอดรหัส” มาดูกันมีหลายพื้นที่ กล่าวคือ ในพื้นที่ของกองเชียร์นายอภิสิทธิ์ ก็ตั้งคำถามบ้าง ด่าบ้าง ตำหนิบ้าง ว่าสิ่งที่เพนกวินทำ คือ การไร้สัมมาคารวะ ไร้สมอง ไม่หาความรู้ ไม่หาข้อเท็จจริง หาแต่เวทีสร้างชื่อ ปัญญาอ่อน ไม่สมกับเป็นนักศึกษา ฯลฯ อะไรทำนองนี้ ในพื้นที่กองเชียร์เพนกวิน ก็สรรเสริญความกล้าหาญของเขา
แต่ที่ผมสนใจที่สุด คือ ในพื้นที่สื่อ
(1) ในความเป็นจริง วันดังกล่าวมีสื่ออยู่ในเหตุการณ์ไหม นี่คือคำถามตัวโตๆ ซึ่งเป็นเรื่อง “จริยธรรมสื่อ” เมื่อตรวจสอบก็พบว่า สื่อเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่รายงานข่าวนี้ ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ รายงานจาก “ข้อมูลทุติยภูมิ” คือ จากคำบอกเล่าบ้าง หรือ “มีคนส่งข่าวให้” จึงพบว่า ทุกสำนักรายงานแบบรวบรัดและคลาดเคลื่อน จนได้เห็นคลิปเหตุการณ์จริงๆ ที่นายอภิสิทธิ์โพสต์ จึงได้ลบข่าวเก่า เขียนข่าวใหม่ หรือแก้ไขเพิ่มเติมกันภายหลัง คำถามก็คือ นี่คือวิธี “นำเสนอข่าว” ของสื่อ ที่ถูกต้องแล้วหรือ?
(2) พบการพาดหัวข่าวอย่างคึกคะนอง ต้องการขายข่าว ที่เปี่ยมรสชาติแห่ง “ความขัดแย้ง” อย่างเต็มที่ เช่น
“นศ.ธรรมศาสตร์” บุกถาม “อภิสิทธิ์” คิดยังไง เด็กวัย 17 ปี ถูกยิงตายซอยรางน้ำ (มติชนออนไลน์ หลังแก้ไขข่าวที่คลาดเคลื่อนแล้ว) ซึ่งในความเป็นจริง เพนกวินไม่ได้ “บุก” อะไรเลย นั่งฟังเป็นชั่วโมงด้วยความสงบดี และลุกขึ้นถามในตอนจบ
ตอบมา? นศ.ชูป้ายถาม “มาร์ค” คิดไงเด็ก 17 ถูกยิงตายที่รางน้ำ (ไทยรัฐออนไลน์)
นศ.มธ.ชูป้าย “unfortunately some people died” ตอกหน้า “มาร์ค” จี้ถามคิดยังไง เด็ก 17 ถูกยิงตายที่รางน้ำ (ข่าวสดออนไลน์)
หวิดวุ่น! นศ.ปี 1 ชูป้ายประท้วง“มาร์ค”กลางวงปาฐกถา (คมชัดลึกออนไลน์)
(3) นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ อดีต สส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบเล่าว่า นายอภิสิทธิ์และผู้จัดงาน ล้วนทราบว่า กลุ่มของเพนกวินได้เตรียมการที่จะแสดงออกเช่นนี้ล่วงหน้า แต่ไม่มีใครยกเลิกรายการดังกล่าว เพราะไม่ได้มองว่า นั่นจะเป็นปัญหา เป็นเรื่องธรรมดาของการแสดงออกที่มีขอบเขต ดังนั้น ในช่วงบรรยาย นายอภิสิทธิ์จึงไม่ได้ขอร้องให้ผู้จัดงานก็ดี หรือกลุ่มของนายเพนกวินก็ดี เอาป้ายลง หรือหิ้วตัวออกไปแต่อย่างใด แต่ได้ทำหน้าที่ผู้บรรยายไปตามปกติ และกลุ่มของนายเพนกวินก็นั่งชูป้ายอยู่กับที่ มิได้ก่อกวนหรือรบกวนใดๆ
(4) ในส่วนนี้เราเห็นอะไร เราเห็นการเคารพสิทธิของกันและกัน โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์นั้น จะยกเลิกงานนี้เสียก็ได้ จะบอกให้ผู้จัดงานเคลียร์สถานที่ให้เรียบร้อยเสียก่อนก็ได้ แต่เขาไม่ทำ มันบอกอะไร มันบอกว่าเขาไม่ได้เห็นการกระทำแบบนี้ เป็นการกระทำของ “ศัตรู” กลับให้ความเคารพ ไม่ขัดขวาง และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากันอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งในฝั่งของนายเพนกวินกับพวกนั้น ก็ไม่ได้ก่อกวนหรือรบกวนการบรรยายดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แม้อาจมีคนมองว่า แค่มานั่งถือป้ายก็นับว่า “ไร้มารยาท” แล้ว เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ไปทำกิจกรรมทางการเมือง แต่เป็นกิจกรรมทางวิชาการ แต่หากเราดู “วัฒนธรรมองค์กร” ของ “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” แล้ว ก็จะพบว่า เกิดเหตุการณ์เช่นนี้นำมาหลายครั้งแล้ว นั่นแปลว่า สถาบันการศึกษาแห่งนี้ มองเรื่อง “กาลเทศะ” หรือ “มารยาทสังคม” เป็นเรื่องรองจากเรื่อง “การใช้เสรีภาพ” เมื่อวัฒนธรรมองค์กรเป็นเช่นนี้ นักศึกษาก็ได้รับเสรีภาพนี้ ถูกหล่อหลอมด้วยเบ้าหลอมนี้ เหตุการณ์จึงได้เกิดดังที่เกิดแล้วนี้ ซึ่งดีหรือไม่ดี ก็วิจารณ์กันไป ตาม “ค่านิยม” ของแต่ละคน ยากที่จะเห็น “ตรงกัน” แต่ในอนาคต คงไม่ง่าย ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้จะมี “วิทยากรภายนอก” ที่ยินดีจะไปให้ความรู้ ท่ามกลางสภาพ “ดินแดนแห่งเสรีภาพ” ดังกล่าว
(5) ทำไมเพนกวินจึงทำอย่างนี้ อยากรู้กันบ้างไหม เขาให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ประชาไท (ซึ่งก็แก้ไขเนื้อข่าวหลังนายอภิสิทธิ์เผยแพร่คลิปแล้วเช่นเดียวกัน) ว่า เขาและเพื่อนๆ ไม่เห็นด้วยที่ทางคณะกรรมการนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ตัดสินใจเลือกให้ อภิสิทธิ์ มาบรรยาย เนื่องจากเห็นว่าเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
“เราเห็นว่า การที่สถาบันทางวิชาการให้พื้นที่กับคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ 99 ศพ กลางกรุงเทพฯ เป็นเรื่องที่รับไม่ได้โดยอย่างยิ่งกับธรรมศาสตร์ ที่เป็นมหาวิทยาลัยประวัติทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตย มันเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถยอมรับได้ เราต้องแสดงให้เห็นว่าประชาคมธรรมศาสตร์ส่วนหนึ่งไม่ได้เห็นด้วยกับการที่คณะกรรมการนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์เชิญอภิสิทธิ์มาบรรยาย เราเลยประท้วงอย่างสงบ ด้วยการถือป้ายโควตคำพูดของคุณอภิสิทธิ์มานั่งฟังเขาบรรยาย”
(6) สำหรับผม สิ่งที่เห็นในเหตุการณ์นี้ คือ วุฒิภาวะอันสูงยิ่งของนายอภิสิทธิ์ ขณะที่นายเพนกวิน ก็มีมารยาทพอในระดับหนึ่ง ที่เลือกเพียงใช้วิธี “ประท้วงอย่างสงบ” เพียงแต่อาจมี “ความผิดหลง”ใน “วิธีคิด” และการ “ให้เหตุผล” รองรับการกระทำของตนไปบ้าง ตามวัย และตามสิ่งเร้าที่เขาอาจฝังตัวอยู่
(7) แต่เศร้าใจกับ “ความเป็นสื่อ” ที่เอาแต่ “คึกคะนอง” ปั่นกระแสข่าวเพื่อสร้างบรรยากาศ “ขัดแย้ง” แล้ว “ขายรสชาติแห่งความขัดแย้ง” นั้น รับประทาน พูดให้สั้น ตรง แต่อาจจะหยาบคายหน่อยว่า “หาแดกกับความขัดแย้ง” จนลืมหน้าที่สื่อ ในการกลั่นกรองข้อเท็จจริง ตรวจสอบข้อเท็จจริง และเป็นแสงส่องนำคนอ่าน คนดู คนฟัง สู่การเห็นความดี ความงาม และความจริงไปสียแล้ว
(8) ยกตัวอย่างส่วนหนึ่งของบทความใน “คมชัดลึก” ที่เริ่มต้นว่า “...เด็กออกซ์ฟอร์ด เจอเด็กธรรมศาสตร์หน่อยเป็นไง ในงาน “รัฐศาสตร์วิชาการ” ที่จัดขึ้น ณ มธ.ศูนย์รังสิต ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเชิญมาร่วมงาน แต่ต้องมาเจอ “ลองของ” จากนักศึกษาชั้นปี 1 ที่ปรี่เข้าไปถามเสียดแทงใจเกี่ยวกับการสลายม็อบแดง ปี’53
แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เดอะมาร์คพูดอะไร แต่อยู่ที่ใคร? คือนักศึกษาคนนั้น ที่ช่างท้าทายให้ทำความรู้จักยิ่งนัก ปรากฏว่า ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นหนุ่มน้อยร่างไม่น้อยที่ชื่อน่ารักเหมือนตัวว่า “เพนกวิน” หรือ พริษฐ์ ชิวารักษ์ อดีตนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่เคยโด่งดังมาแล้วสองสามปีก่อน...” จากนั้นบทความนี้ก็พร่ำพรรณนาถึงสิ่งที่เพนกวินเคยทำมา
(9) คำว่า “ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เดอะมาร์คพูดอะไร” นี่ แย่สุดๆ เพราะในความเป็นจริง นั่นแหละคือ “ประเด็นสำคัญ” เมื่อเพนกวินถาม และอภิสิทธิ์ตอบ หากสิ่งสำคัญไม่ใช่คำถามคำตอบแล้วอยู่ที่อะไร อยู่ที่การสดุดีเพนกวิน จนสร้างการเรียนรู้ที่ผิดแก่เด็ก แก่สังคมใช่ไหม ว่าใครทำอย่างนี้ดี เก่ง กล้า น่าสรรเสริญ จนข้ามผ่าน “ความมีเหตุมีผล” และ “วุฒิภาวะของการอยู่ร่วมกัน” ไปเสียหน้าตาเฉย
(10) สิ่งที่สื่อควรสรรเสริญ คือ บุคคลทั้งสอง เป็นคน “คิดต่าง” แต่สามารถเผชิญหน้ากันได้อย่างสร้างสรรค์ สงบ เรียบร้อย เด็กคนหนึ่งถาม ซึ่งก็น่าตั้งคำถามว่า เป็นความสงสัยที่แท้จริง หรือเป็นคำถามที่ “ประดิดประดอยขึ้น” เพื่อให้ “เป็นข่าว” เพราะเอาเข้าจริง เราไม่เห็นเพนกวิน “ใส่ใจต่อคำตอบที่ได้รับ” เช่นดียวกับสื่อ ที่ก็บอกว่า “คำตอบไม่สำคัญ” สื่อกำลังสื่อสารว่า “แค่กล้าถาม” ก็พอแล้ว ไม่ต้องใส่ใจคำตอบของมัน อย่างนั้นใช่ไหม
(11) กี่ปีแล้ว ที่มีคน “หาประโยชน์จากความตาย” ของ นปช. แต่ถูกแกนนำนับศพแบบพิเศษ เพื่อให้มีศพเยอะๆ น้ำหนักในการเล่นงานทางการเมืองจะได้เยอะๆ อย่างปราศจากการแยกแยะ เช่น การตายของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และทหาร ที่สี่แยกคอกวัว ประจักษ์ชัดเจนว่า มีกองกำลังติดอาวุธสงคราม เข้าปะปนกับผู้ชุมนุม นปช. กลุ้มรุมยิงปืนยิงระเบิดเข้าใส่ โดยที่ภายหลัง นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ก็ประกาศ “ความเป็นหนึ่งเดียว” ของการต่อสู้ ว่ามีแก้วสามประการครบแล้ว คือ มีพรรคการเมือง (เพื่อไทย?) มีมวลชน (นปช.) และมีกองกำลังติดอาวุธ มีคลิปที่คนชุดดำบอกกับคนเสือ้แดงว่า ถ้ามีใครมาถาม ให้บอกว่า ไม่รู้ ไม่เห็น ปรากฏชัดเจนที่แยกคอกวัวในวันดังกล่าว ความตายส่วนนี้ นปช. เคยตั้งคำถามไหม ว่าใครฆ่า? เคยเรียกหาความยุติธรรมให้ไหม
เช่นเดียวกับแม่ค้าคนหนึ่ง ถูกเอ็ม 79 ตายที่สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง ซึ่งผลการสอบของเจ้าหน้าที่ ของ คปอ. โดยประธานคือ ดร.คณิต ณ นคร และของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ล้วนมีข้อสรุปตรงกัน ว่ายิงมาจากฝั่งผู้ชุมนุม นปช. ที่สวนลุมพินี เพนกวินเคยคิดจะถามไหม ว่าความตายของแม่ค้า ที่ทิ้งลูกให้ “กำพร้า” เช่นนี้ ใครควรจะเศร้าใจบ้าง
(12) สื่อจึงควรเป็น “ผู้นำ” ในการพาเด็กคนหนึ่ง ออกจากการเป็น “คู่ขัดแย้ง” และความเกลียดชังที่ไร้เหตุผล ด้วยการช่วยเพนกวินทบทวนว่า
• การชุมนุมของ นปช. ที่อ้างว่า รัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะตั้งรัฐบาลในค่ายทหารนั้น มีเหตุมีผลไหม ในเมื่อการโหวตในสภา เป็นที่มาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้เสนอคนในพรรคแข่งขันด้วย แต่ไปปลุกระดมคนมาเรียกหาประชาธิปไตยด้วยการจะล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
• ในการชุมนุมนั้น ศาลระบุชัดใช่ไหม ว่าไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ รัฐบาลในขณะนั้นจึงต้องสลายการชุมนุม และทำอย่างเป็นขึ้นเป็นตอนตามกฎหมาย
• กี่ครั้งที่นายอภิสิทธิ์บอกว่า เสียใจ เขาเคยมีความสุขไหมที่มีคนตาย ไม่เลย แถมสนับสนุนให้ค้นหาความจริง เพื่อนำตัวคนฆ่ามาสู่การพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรม โดยไม่เคยปิดกั้น
• กลับเป็นพรรคเพื่อไทย ในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเสียอีก ที่ทำลายความถูกต้องด้วยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้คนเหล่านั้นตายเปล่า ตายโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ต้องตรวจสอบ ไม่ต้องเอาผิดใครหน้าไหนทั้งนั้น ซึ่งเพนกวินเคยคิดจะถามแกนนำ นปช. บางคน ที่เข้าไปร่วมรัฐบาลบ้างไหม ว่าคุณปล่อยให้มีกฎหมายชั่วๆ ที่ทำให้คน “ตายฟรี” ได้อย่างไร และอยากบอกอะไรกับดวงวิญญาณของคนตายบ้าง
สื่อกำลังให้การเรียนรู้ที่ผิดแก่เพนกวิน ด้วยการยกยอปอปั้น ทำให้เด็กเข้าใจว่านั่น คือคำถามที่สุดยอดแล้ว ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ มันเป็นคำถามแห่งอคติ คำถามแห่งความเขลา แม้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการต้องการความยุติธรรม แต่มันใช่กาลเทศะไหม มันรอบด้านไหม หรือเป็นการ “เลือกใช้คำถาม” เพื่อ “เล่นงานใครบางคนที่ตนเกลียดชัง
นายอภิสิทธิ์ คือคนคนหนึ่งที่ค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เขาได้ประโยชน์จากมัน แต่มันไม่ถูกต้อง เขาค้านเขาต้องการให้ทุกๆ ความตายได้รับการพิสูจน์และได้รับความเป็นธรรมใช่ไหม เขาไม่เคยหนีไปไหน เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีคนปั้นวาทกรรม “สั่งทหารไปฆ่าคน, ฆาตกรมือเปื้อนเลือด” พวกเขาฟ้องศาล จนเข้าคุกไป 2 คน คือ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กับนายจตุพร พรหมพันธุ์
ดังนั้น พอกันได้หรือยัง พี่น้องสื่อมวลชนครับ หยุดกันได้หรือยัง ในการลากพาคนอีกรุ่นมาสู่มหาสมุทรแห่งความชิงชังที่ไร้เหตุผล ไร้การตรวจสอบข้อเท็จจริง ไร้การมองภาพรวมทั้งหมด และไร้การยุติ
หยุดหล่อเลี้ยงความโกรธแค้นชิงชังไว้หากิน แล้วบอกความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ควรหาทางออกกันอย่างไร และกล้าหาญที่จะบอกว่า อะไรถูก อะไรผิด กันได้แล้ว!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี