สังเกตว่า ระยะหลัง เวทีการบิดเบือนปลุกระดมได้เน้นไปที่ประเด็นเศรษฐกิจ
คนบางกลุ่ม อาศัยความเท็จ ผูกโยงเข้ากับสถานการณ์ที่เศรษฐกิจยังไม่ดี ไม่ฟู่ฟ่า แม้กำลังค่อยๆ ฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่คนประสงค์ร้ายก็พยายามใช้จุดอ่อนตรงนี้ ระดมข้อมูลเท็จใส่ร้ายป้ายสีเข้าไป เพื่อกระพือเชื้อความรู้สึกเรื่องเศรษฐกิจที่คนมีความวิตกกังวลอยู่เป็นทุน เอาข้อมูลเท็จระดมสาดเข้าไปจนไม่มีดี
จับแพะชนแกะ มั่วซั่วไปหมด
1. กรณีปรับภาษีสรรพสามิต
ปรากฏว่า ก่อนจะถึงวันประกาศภาษีจริง มีทั้งสื่อมวลชน และสื่อโซเชียลมีเดีย เพจสารพัดเพจ รวมถึงคนที่อยากจะอวดตัวเป็นผู้รู้ รู้ไวกว่าคนอื่น ก็ปั้นน้ำเป็นตัว นำเสนอข้อมูลเท็จ แล้วเอาเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แพร่กระจายออกไปวงกว้าง เพื่อสร้างความตื่นตระหนก โกลาหล สร้างความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ เกิดเสียงก่นด่ารัฐบาลสารพัน บนฐานข้อมูลอันเป็นเท็จดังกล่าว
พวกที่โหยหาข่าวร้าย เพื่อจะมาดิสเครดิตรัฐบาล ก็สนุกปากกันใหญ่
บางราย ถึงขนาดยืนยันว่า ราคาเบียร์หลังวันที่ 16 กันยายน ผลจากภาษีครั้งนี้จะทำให้ต้องปรับราคาขายขึ้นเป็นขวดละ 110-118 บาท
ส่วนราคาสินค้าอื่นๆ ก็ไม่แพ้กัน
อ้างว่า ราคาขายจะขึ้นเป็นหลายเท่าตัวก็มี
แต่พอประกาศอัตราภาษีจริง ก็ไม่เป็นไปตามนั้นเลย
บางรายการ ภาระภาษีลดลงด้วยซ้ำ
เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2560 เวลา 10.00 น. นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต นำคณะแถลงข่าว แจกแจงข้อเท็จจริง หลังจากกฎกระทรวงกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิต กฎหมายลูกของพระราชบัญญัติสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ (เพราะจะบอกอัตราแท้จริงก่อนมีผลใช้บังคับไม่ได้)
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต กล่าวว่า สำหรับการปรับโครงสร้างอัตราภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาของสินค้าหลายรายการที่เสียภาษีสรรพสามิต ดังนี้
สุราขาว หรือเหล้าขาว ภาระภาษีเพิ่มขึ้น 0.84-3.49 บาท/ขวด
สุรากลั่นหรือสุราสีผลิตในประเทศ ภาระภาษีเพิ่มขึ้น 8-30 บาท/ขวด
สุรากลั่นหรือสุราสีนำเข้าจากต่างประเทศ ภาระภาษีลดลง 3-26
บาท/ขวด
เบียร์ราคาถูก ภาระภาษีเพิ่มขึ้น 0.50-2.66 บาท/ขวด
เบียร์ราคาแพง (ดีกรีต่ำๆ) ภาระภาษีลดลง 0.99-2.05 บาท/ขวด
ไวน์ผลิตในประเทศราคาไม่เกิน 1,000 บาท ภาระภาษีลดลง 25
บาท/ขวด
ไวน์นำเข้าจากต่างประเทศ ภาระภาษีเพิ่มขึ้น 110 บาทขึ้นไป
บุหรี่ราคาต่ำกว่า 60 บาท ภาระภาษีเพิ่มขึ้น 4-15 บาท/ซอง
ส่วนบุหรี่ราคาเกิน 60 บาท ภาระภาษีเพิ่มขึ้น 2-14 บาท/ซอง
เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมไม่ผสมน้ำตาล ภาระภาษีลดลง 0.25-0.36 บาทต่อขวด
น้ำอัดลมที่ผสมน้ำตาล ภาระภาษีเพิ่มขึ้น 0.13-0.50 บาทต่อขวด
เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ภาระภาษีเพิ่มขึ้น 0.32-0.90 บาทต่อขวด ยกเว้นเครื่องดื่มบำรุงกำลังขนาด 150 ซีซี ภาระภาษีลดลง 0.11 บาท/ขวด
น้ำพืชผักผลไม้ ภาระภาษีเพิ่ม 0.06-0.54 บาทต่อขวด
ชาและชาเขียว ภาระภาษีเพิ่มขึ้น 1.13-2.05 บาทต่อขวด
กาแฟ ภาระภาษีเพิ่ม 1.35 บาทต่อขวด ฯลฯ
รายการสินค้าที่มีการปรับลดอัตราภาษีให้สอดคล้องกับการใช้ราคาขายปลีกแนะนำมาคำนวณภาษี ได้แก่ รถยนต์ แบตเตอรี่ จักรยานยนต์ และผลิตภัณฑ์เครื่องหอมและเครื่องสำอาง
นอกจากนี้ ยังกำหนดอัตราภาษี 0% สำหรับรายการสินค้าที่จัดเก็บภาษีได้น้อย ระบุว่า ไม่มีความคุ้มค่าในการบริหารจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิต ได้แก่ สินค้าเครื่องไฟฟ้า, แก้ว, เครื่องแก้ว, พรมและสิ่งทอปูพื้น
ข้างต้น คือ ข้อมูลข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการปรับภาษีสรรพสามิตครั้งนี้
ส่วนผู้ประกอบการจะขึ้นราคาขายหรือไม่ อยู่ที่สภาพตลาดของแต่ละสินค้า บางชนิดก็ไม่ขึ้น เพราะถ้าขึ้นจะเสียลูกค้าที่อาจหันไปบริโภคสินค้าตัวอื่นทดแทน
แต่ที่แน่ๆ คือ ความจริงเป็นคนละเรื่อง คนละโลกกับโลกของนักมโนที่มีสื่ออยู่ในมือ อย่างลิบลับ ทำให้ชาวบ้านแตกตื่นตกใจกันไปก่อนแล้ว
2. กรณีเงินคงคลัง
ล่าสุด ยังมีนักการเมือง รวมถึงคนบางกลุ่ม นำวาทกรรมเรื่องเงินคงคลังไปปลุกระดม สร้างความเข้าใจผิด หวังผลร้ายในทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีคำชี้แจงที่ชัดเจนออกมาก็แล้ว
ตัวเลขจริงที่ปรากฏ ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้หลายครั้งก่อนหน้านี้ก็แล้ว
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ได้ชี้แจงประเด็นการบิดเบือนข้อมูลเงินคงคลังปี 2561 สาระสำคัญ ระบุว่า เพจอาณาจักรไบกอน Returns โพสต์ข้อความแสดงจำนวนเงินคงคลังของรัฐบาลไทย โดยเปรียบเทียบเงินคงคลังตั้งแต่ปี 2554 - 2560 ว่ามีปริมาณเงินลดลงต่อเนื่อง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ในปี 2561 ถ้าหักลบกลบหนี้แล้ว จะเหลือเงินคงคลังอยู่ที่ 350 บาท
ข้อเท็จจริง : กรมบัญชีกลางขอชี้แจงว่า เงินคงคลัง คือ เงินสดคงเหลือในมือของรัฐบาล (Cash on hand)
ที่มีสำรองไว้สำหรับใช้จ่าย ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการรับเงินและการจ่ายเงินของรัฐบาล โดยเงินคงคลังจะเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการจัดเก็บรายได้จากภาษีต่างๆ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นต้น ซึ่งกระทรวงการคลังสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
เงินคงคลังคงเหลือ ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 – 2559 มีรายละเอียดดังนี้
ปีงบประมาณ 2554 เงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 521,294 ล้านบาท
ปี 2555 เงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 561,270 ล้านบาท
ปี 2556 เงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 605,052 ล้านบาท
ปี 2557 เงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 495,747 ล้านบาท
ปี 2558 เงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 426,182 ล้านบาท
ปี 2559 เงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 441,300 ล้านบาท
และ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2560 มีเงินคงคลังคงเหลือ จำนวน 315,392 ล้านบาท
ดังนั้น การตั้งข้อสังเกตของเพจอาณาจักรไบกอน Returns ที่แสดงข้อมูลเปรียบเทียบเงินคงคลัง จึงเป็นการตั้งข้อสังเกตที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
3. ทั้งสองกรณี ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ควรปล่อยผ่านไปเฉยๆ รอให้คนกลุ่มเดิมๆ นำเรื่องอื่นๆ มาบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิด โหมกระพือความเท็จ สร้างความตื่นตระหนก สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจและความเชื่อมั่นภาพรวมของประเทศไปเรื่อยๆ
เพราะพฤติกรรม อาจไม่ใช่การเข้าใจผิด หรือโง่
แต่อาจมีเจตนาแอบแฝงบางประการ ที่สอดประสานกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง
ประเทศประชาธิปไตยในโลก ยังมีวิธีจัดการกับสื่อปั้นน้ำเป็นตัว สันดานเด็กเลี้ยงแกะ เด็ดขาดกว่านี้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี