การปรับภาษีสรรพสามิตงวดนี้ มีทั้งการเปลี่ยนวิธีคิดภาษี และพิกัดอัตราภาษีใหม่
สินค้าที่ถูกเก็บ มีหลายรายการ อาทิ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (สุรา เบียร์ ไวน์) บุหรี่ เครื่องดื่มประเภทที่มีน้ำตาลเข้มข้น (น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ชาเขียวผสมน้ำตาล) รถยนต์ ฯลฯ
อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า จะทำให้กรม มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่ม ประมาณ 2% ต่อปี
คิดเป็นวงเงิน 12,000 ล้านบาท
1. การเก็บภาษีสรรพสามิต โดยปกติ เป็นเครื่องมือของรัฐ ในการควบคุมการบริโภคสินค้าที่ไม่พึงประสงค์ ต้องการให้คนลดการบริโภคลง โดยเก็บภาษี เพื่อทำให้ราคาสินค้าชนิดนั้นแพงขึ้น สร้างแรงกดดันกระเป๋าสตางค์ของผู้บริโภค ทำให้ต้องลดการบริโภคหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคไป
จึงได้มีการเก็บภาษีสรรพสามิตจากสินค้าบางจำพวก ทั้งของไม่เกิดประโยชน์ มีโทษ ของฟุ่มเฟือย อาทิ น้ำหอม เครื่องสำอาง รถหรู บุหรี่ เหล้า ฯลฯ เพื่อทำให้มีราคาแพงขึ้น ลดการบริโภค และรัฐมีรายได้เพิ่ม
การปรับภาษีสรรพสามิตในครั้งนี้ ทั้งภาษีเหล้า บุหรี่ เครื่องดื่นที่มีน้ำตาลเข้มข้น รถยนต์ ผมเห็นด้วยในหลักการ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเก็บภาษีเหล้าที่เพิ่มการเก็บตามดีกรีแอลกอฮอล์ จากเดิมคำนวณสองขา ทั้งตามมูลค่าและปริมาณ มาเพิ่มน้ำหนักของการเก็บตามแอลกอฮอล์ นับว่ามีความก้าวหน้าขึ้น
อย่างไรก็ตาม สินค้าชนิดที่ภาระภาษีลดลงก็มี เช่น เบียร์ที่มีแอลกอฮอล์อ่อน (เบียร์พรีเมียม) เครื่องดื่มประเภทปลอดน้ำตาล ไวน์ในประเทศราคาต่ำกว่า 1,000 บาทต่อขวด ฯลฯ นั่นเป็นการส่งสัญญาณเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้ลดการบริโภคแอลกอฮอล์และน้ำตาล อันจะนำไปสู่การปรับตัวของผู้ผลิตต่อไปอีกด้วย
การเก็บครั้งนี้ คนทั่วไปคงไม่เดือดร้อน เพราะไม่ได้กินดื่มกันเช้าสายบ่ายเย็น ยกเว้นพวกขี้เหล้า-ขี้ยา-ขี้หวาน-ขี้หรู(หรา) ก็คงจะได้รับผลกระทบ แล้วอาจทำให้ปริมาณการบริโภคลดลง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะตรงตามเจตนาที่จะให้การบริโภคสินค้าจำพวกนี้น้อยลง
แต่นั่นจะต้องมีมาตรการเสริม มิฉะนั้น จะกลายเป็นการเตะหมูเข้าปากหมา
2. ใครได้ประโยชน์ หรือแฮปปี้กับการปรับภาษีสรรพสามิตครั้งนี้?
2.1 รัฐบาล
เมื่อกระทรวงการคลังได้เงินภาษีเข้าคลังหลวงเพิ่มขึ้น รัฐบาลก็มีงบประมาณแผ่นดินนำไปจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นตามไปด้วย
2.2 แบงก์ชาติ
การเก็บภาษีครั้งนี้ ย่อมทำให้ดัชนีเงินเฟ้อหรือดัชนีราคาผู้บริโภคสูงขึ้น ทำให้แบงก์ชาติมีโอกาสบรรลุผลตามกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ซึ่งกำลังมีวิวาทะกับรัฐมนตรีคลังอยู่พอดี โดยถูกรัฐบาลกดดันว่า เงินเฟ้อส่อต่ำกว่าเป้าหมาย แทนที่จะไปปรับเป้าหมายเงินเฟ้อ ทำไมไม่ลดดอกเบี้ยนโยบาย
3.3 ช่องว่างของผลประโยชน์เถื่อน
การปรับภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ แม้จะทำให้ราคาสินค้าไม่ได้ขยับสูงพรวดพราดก็ตาม แต่เมื่อรวมการเก็บภาษีสรรพสามิตที่เก็บอยู่เดิม ทำให้ราคาสินค้าก่อนเสียภาษีสรรพสามิต กับหลังเสียภาษีสรรพสามิต มีช่องว่างมากขึ้นกว่าปัจจุบัน ซึ่งก็มีความห่างสูงมากอยู่แล้ว
ช่องว่าง หรือส่วนต่าง ระหว่างสินค้าที่เสียภาษีถูกต้องกับเสียภาษีไม่ถูกต้องนี่เอง คือ ชิ้นเค้ก หรือแรงจูงใจผลประโยชน์ของพวกขบวนการหลบเลี่ยง หนีภาษี
ประการสำคัญ ตัวเนื้อภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าบางชนิด สูงกว่าตัวมูลค่าสินค้าเสียอีก ยิ่งเป็นสิ่งเย้ายวน ชวนให้มีการหากินกับการหนีภาษี หรือค้าภาษีเถื่อน
กลุ่มคนที่แฮปปี้ หรือได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ประกอบด้วย
ร้านดิวตี้ฟรี ผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีคงแฮปปี้ เพราะเมื่อช่องว่างสูงขึ้น แรงจูงใจที่จะไปซื้อสินค้าปลอดอากรก็มากขึ้น ย่อมจะมีลูกค้าเข้าไปร้านค้าปลอดอากรมากขึ้น
พวกลักลอบนำของหนีภาษีมาขายในประเทศ ก็จะได้กำไรสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลักลอบตามแนวชายแดน โดยเฉพาะกรณีเจ้าของบ่อนที่เป็นคนไทยไปเปิดบ่อนอยู่ตามประเทศเพื่อนบ้าน แล้วหันประตูหลังของบ่อนประชิดกับชายแดนไทย พร้อมกับซื้อที่ดินในฝั่งดินแดนไทยที่ติดกับหลังบ่อน ล้อมรั้วรอบขอบชิด นำเอาสินค้าหนีภาษีข้ามแดนโดยเส้นทางธรรมชาติ ไม่ต่างอะไรกับคนนอกกฎหมายหลบหนีออกตามเส้นทางธรรมชาติ
รวมถึงพวกลักลอบขนของหนีภาษีทางทะเลก็เช่นกัน หรือทางอากาศ ลักลอบมากับสายการบิน
การลักลอบ ยังกินความไปถึงการอ้างว่าขายดิวตี้ฟรี ขายร้านปลอดอากร แต่เล็ดลอดรั่วไหลออกมา
เจ้าหน้าที่ศุลกากร ประเภทที่ทำไม่รู้ไม่เห็น หลิ่วตากับการขนของหนีภาษี ตามชายแดน ขนกันเป็นลังๆ หีบๆ เข้าตามเส้นทางธรรมชาติ เจ้าหน้าที่ทุจริตรับสินบน
เจ้าหน้าที่สรรพสามิต ประเภทที่หวังจะหากิน ก็มีส่วนต่างเพิ่มขึ้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจกองปราบ รวมถึงทหารบางหน่วย
ทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลจากคนในแวดวงที่เคยลักลอบตัวจริง เคยทำเอง และให้สัมภาษณ์กับผมในรายการโทรทัศน์ “ลงเอยอย่างไร” เมื่อปี 2553
4. ทำอย่างไรไม่ “เตะหมูเข้าปากหมา”?
วัตถุประสงค์และเจตนาของรัฐบาลในการปรับภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ จะไม่บรรลุผลแน่นอน ถ้าไม่มีมาตรการในการป้องกันดูแลการลักลอบ รั่วไหล เพราะสินค้าที่ลักลอบเข้ามาในประเทศจะมีจำนวนมากขึ้น เกือบจะเหมือนเดิม จากการลักลอบเข้ามาขาย ผู้บริโภคก็จะยังบริโภคต่อไป เพียงแต่หันไปบริโภคของหนีภาษี เจตนาที่จะลดการบริโภคสินค้าไม่พึงปรารถนาเหล่านี้ ก็ล้มเหลว แถมรายได้รัฐก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตกหล่น รั่วไหล ไปเข้าปากคนบางกลุ่มที่จะร่ำรวยขึ้น ดังที่กล่าวมาแล้ว
ข้อแนะนำเพื่อให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตบรรลุวัตถุประสงค์ของรัฐบาล
4.1 อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เคยให้สัมภาษณ์กับผมในรายการลงเอยอย่างไร เมื่อปี 2553 ระบุว่า จะต้องทำบาร์โค้ด (ซึ่งถึงยุคนี้ น่าจะพัฒนาไปถึงคิวอาร์โค้ดแล้วด้วยซ้ำ) สำหรับสินค้าทุกชิ้น ทุกขวด ทุกหีบ ที่ผ่านการเสียภาษีสรรพสามิต ซึ่งถ้ามีการค้าขายปะปนในประเทศ สามารถแยกแยะได้ทันที
รัฐมนตรีในสมัยนั้นยังเล่ากรณีศึกษาด้วยว่า ในอังกฤษ เอาจริงกับการตรวจสอบกำกับติดตามดูแลเรื่องนี้ ภายหลังการตรวจสอบ ตรวจจับจริงจัง ปรากฏว่า รัฐได้รายได้สูงขึ้นกว่าต้นทุนการทำบาร์โค้ดหลายสิบเท่า
ทั้งหมด จะต้องเอาจริงกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยต่างๆ ในการกำกับตรวจสอบดูแล เพราะหากทำบาร์โค้ดแล้ว ไม่มีการเอาจริงเอาจังในการตรวจสอบติดตาม ก็จะสูญเปล่า
4.2 ควรเอาจริงกับการตรวจสอบร้านดิวตี้ฟรี ปลอดอากร
เนื่องจากมีกรณีที่ตรวจพบว่า นำของปลอดอากรออกมาขายในประเทศ และมีการปรับแล้วหลายร้อยคดี
รัฐจำเป็นต้องปรับระบบเสียใหม่ ไม่ให้ผู้ที่จะเดินทางออกต่างประเทศไปซื้อของที่ยกเว้นภาษีเหล่านี้ แล้วใช้วิธีฝากไว้ก่อน ค่อยแวะรับเพื่อนำเข้าประเทศตอนเดินทางกลับ โดยที่สินค้าเหล่านี้ก็ถูกบริโภคในประเทศ ไม่ต่างกับสินค้าที่เสียภาษีถูกต้องตามร้านอื่นๆ
รัฐยังต้องเข้มงวดกับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร ที่จะซื้อสินค้าพวกนี้จำนวนมากๆ โดยเฉพาะที่เดินทางเป็นหมู่คณะ ประเภทใช้วิธีรวบรวมรายชื่อ ซื้อทีละมากๆ เพื่อนำสินค้าปลอดอากรเหล่านี้มาค้าขายในประเทศ ถึงเวลาจะต้องเข้มงวด เอาจริงเอาจัง นอกจากจะลดการรั่วไหลแล้ว ยังเพื่อประโยชน์ความเป็นธรรมในการค้าขายของผู้ประกอบการที่จ่ายภาษีถูกต้องในประเทศด้วย
สรุป การปรับภาษีสรรพสามิตครั้งนี้ โดยภาพรวมนับว่ามีความก้าวหน้า เป็นเรื่องถูกต้อง ขอสนับสนุน
แต่รัฐบาลจะต้องมีมาตรการที่เอาจริงเอาจังกับการจัดการช่องว่าง ช่องโหว่ การติดตาม ตรวจสอบ กำกับดูแลอย่างรัดกุม มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้มาตรการที่ออกมานั้นบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์แท้จริง มิฉะนั้น ก็จะเป็นแค่ “การเตะหมูเข้าปากหมา”
หากรัฐบาลเพิกเฉย ก็เหมือนหลิ่วตา หรือรู้เห็นเป็นใจไปกับหมา เกรงว่าจะเสียหมาไปด้วย
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี