l 1.อาการป่วยของสังคมไทย ชาวบ้านเห็นแจ้งชัดมาตลอด แต่นักการเมืองนักวิชาการไทย บ่รู้บ่เห็น
นักการเมือง นักวิชาการ นักสิทธิฯมีอมตะวาจาเดียวกล่าวหาว่า “เกิดขึ้นเพราะไม่มีการเลือกตั้ง” อ้างแบบอย่างประเทศศิวิไลซ์ประชาธิปไตยว่า “เขาพัฒนาได้ เพราะเขามีการเลือกตั้ง” และกล่าวหารัฐบาลพลเอกประยุทธ์และคสช.แทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ดีไปหมด โดยไม่แยกแยะว่า สิ่งใดดีมีประโยชน์ และภาพรวมที่มีผลดีต่อประชาชนและประเทศ เป็นอย่างไร
เจ้าของพรรคครอบครัวและแกนนำของพรรคที่โดนคดีฉ้อโกงและใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญจะกล่าวอ้างคำโต ในนามของผลประโยชน์ของประชาชนประเทศชาติที่ตัวเองไม่มีหรือมีน้อยที่สุด ความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง คือ ผลประโยชน์อันคับแคบของตัวเอง-พรรค ที่ตัวเองเคยมีเคยได้มาก่อน แต่ไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย “ประชาชนมาก่อน” ไม่เกิดขึ้นชาวบ้านยังทุกข์ สังคมยังเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม พวกเขาออกข่าวรายวัน หยิบข้ออ่อนของรัฐบาลมากล่าวโทษ และสื่อไทยที่ขาดจรรยาบรรณก็เผยแพร่ต่อ แทบจะไม่เคยพูดถึงเรื่องดีๆ ที่รัฐบาลทำ เช่นไปร่วมประชุมใหญ่ BRICS ที่จีนและไปเจรจากับกัมพูชา ฯลฯ สื่อไทยก็แทบไม่สัมภาษณ์เรื่องดีๆ กลับไปตั้งคำถามเรื่องอื่นๆ เพื่อสร้างประเด็นข่าวต่อตามนักการเมือง
นี่ก็ผิดกับประเทศพัฒนาแล้วที่ชอบอ้าง ซึ่งเขาให้ความสำคัญกับผู้นำ ที่ไปเจรจากับผู้นำต่างประเทศว่า มีเรื่องใดที่ประเทศไทยได้รับข้อตกลงหรือความร่วมมือกันมา เพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติ ส่วนเรื่องการต่อสู้และความขัดแย้งภายใน ก็มาว่ากันที่หลังมาต่อสู้กันภายในประเทศ
➢ นี่เป็นลักษณะของนักการเมืองนักวิชาการนักสิทธิ์ ที่เน้นเอาแต่รูปแบบ แต่ไม่ดูเนื้อหาดีๆ ที่เขาทำ รวมทั้งกลุ่มคนที่มักอ้าง “เป็นภาคประชาชน” ในส่วนที่คัดค้านโจมตีรัฐบาลไปทุกเรื่อง ไม่จำแนกแยกแยะ เป็นการเอาของกลุ่มตนมาก่อน โดยมีอคติ อวิชชา ขาดสติปัญญา ไม่สนใจประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง
l 2.เราต้องมาศึกษาข้อเท็จจริงในสังคมไทย เปรียบเทียบกับการพัฒนาสร้างประชาธิปไตยในประเทศอื่นๆ ประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่เดิมเขาก็มีลักษณะสำคัญของประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมาก่อน คือ
1.ชนชั้นนำส่วนน้อย มีอำนาจหน้าที่ มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดียิ่ง จากการเอารัดเอาเปรียบคนส่วนใหญ่
2.โครงสร้างและระบบกลไกของสังคมทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจสังคมและกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรม
3.ประชาชนทุกข์ยากเดือดร้อน อ่อนแอไม่มีคุณภาพ ไม่มีความคิดการรวมตัวต่อสู้เพื่อส่วนรวมและบ้านเมือง
4.การใช้ระบบเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรมมาใช้ ซึ่งทำให้พวกเขาได้เป็นรัฐบาลไปทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ไม่ชอบธรรม
l 3.การแก้ไขเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่ไม่เป็นธรรมไปสู่สังคมที่เป็นธรรม ได้มีการพัฒนาการสะสมเป็นขั้นตอน
1.มีชนชั้นนำ ปัญญาชนที่มีอุดมคติ ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับชนชั้นนำอธรรมที่ใช้อำนาจมิชอบสร้างวิกฤติ
2.ประชาชนที่เดือดร้อนได้เข้าร่วมมีส่วนในการต่อสู้ร่วมด้วยกับชนชั้นนำมาอย่างต่อเนื่อง จริงจังโดยตลอด
3.บางครั้งมีปัจจัยจากเหตุการณ์ใหญ่จากภายนอกประเทศมาคุกคามทางทหาร การเมือง เศรษฐกิจต่อประเทศ
4.ในการแก้วิกฤติของประเทศ ผู้นำ-ประชาชน ได้สะสมบทเรียนและการสร้างความเข้มแข็งของตนขึ้น มีการแก้ไขระบบโครงสร้างของสังคมให้ดีขึ้นทีละขั้น พร้อมกับการพัฒนาคุณภาพของประชาชนไปด้วย
5.ผู้นำในการเปลี่ยนแปลง จะมีแนวทางนโยบายในการสร้างแนวร่วมกับชนชั้นปกครองที่ขัดแย้งกัน โดยการสามัคคีกับชั้นปกครองที่มีจิตใจที่ต้องการแก้ไขวิกฤติของประเทศ ต่อสู้กับชนชั้นนำอธรรม
6.เมื่อมีจุดของการเปลี่ยนแปลง Turning Point ผู้นำการเปลี่ยนแปลง จะใช้เป็นโอกาสเปลี่ยนแปลง
7.การเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงต้องใช้อำนาจที่เป็นธรรมจัดการกับฝ่ายอธรรม ไม่สามารถใช้อำนาจกลไกตามกฎหมายเก่าที่ล้าหลังและเอื้อต่อชนชั้นปกครองเก่ามาแก้วิกฤติได้ เพราะชนชั้นปกครองหรือรัฐบาลอธรรม จะได้ประโยชน์จากกลไกระบบโครงสร้างเก่า ทำให้แก้ไม่ได้
8.การเปลี่ยนแปลงจึงต้องการผู้นำระดับรัฐบุรุษมีวิสัยทัศน์กล้าเสียสละกล้าเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด และการมีส่วนร่วมที่สำคัญจากประชาชนที่มีคุณภาพ พัฒนาจากไม่มีสู่มี จากน้อยสู่มากจากเล็กสู่ใหญ่
9.เมื่อมีอำนาจรัฐ ก็ดำเนินการปฏิรูปหรือปฏิวัติโครงสร้างระบบให้เป็นธรรม และการสร้างคุณภาพคน
10.เมื่อนั้น จะมีการเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรมได้ตัวแทนของประชาชนไปเป็นรัฐสภารัฐบาลที่แท้จริง
l 4.โดยสรุปขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงจากอำนาจอธรรมของรัฐบาลเก่าไปสู่ประชาธิปไตยของประชาชน
๑.ชนชั้นนำเก่า มีอำนาจเหนือกว่า ฝ่ายที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ช่วงที่ชนชั้นปกครองหรือรัฐบาลเก่ามีอำนาจและใช้กลไกโครงสร้างระบบเก่าที่เอื้อประโยชน์กับฝ่ายตน ผู้นำการเปลี่ยนแปลงต้องสะสมกำลังและการสร้างความร่วมมือกับปัญญาชนและประชาชนที่มีคุณภาพ และควบคู่ไปกับดำเนินการเคลื่อนไหวคัดค้านในเรื่องที่ไม่ชอบธรรมของรัฐบาลเก่าอย่างตรงไปตรงมา
๒.ช่วงที่ดุลกำลังของฝ่ายเปลี่ยนแปลงมีกำลังเพิ่มขึ้น ใกล้เคียงกับฝ่ายปกครองเก่า ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ จากการที่ผู้นำของฝ่ายเปลี่ยนแปลงต้องยึดกุมแนวทางการสร้างแนวร่วมกับฝ่ายต่างๆ
๓.ช่วงที่ดุลกำลังของฝ่ายเปลี่ยนแปลงเหนือกว่าฝ่ายอำนาจเก่าที่คัดค้านการเปลี่ยนแปลง ผู้นำการเปลี่ยนแปลงร่วมกับประชาชนที่มีคุณภาพ ใช้อำนาจที่เป็นธรรมจัดการเด็ดขาดต่ออำนาจเก่า และเร่งการปฏิรูปบ้านเมืองในทุกภาคส่วนให้เป็นธรรมพร้อมกับการสร้างคุณภาพของประชาชนทั่วประเทศ
l 5.บทเรียนแห่งความล้มเหลวของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตย
1.เมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจ ข้าพเจ้าขาดประสบการณ์ เมื่อข้าพเจ้ามีประสบการณ์ มีหมดอำนาจ
2.ขาดการสามัคคีและสร้างคุณภาพของประชาชนให้กว้างขวางในขอบข่ายทั่วประเทศ ให้มีพลังที่แท้จริง
3.ขาดการสร้างแนวร่วมกับฝ่ายที่สามัคคีได้ แต่ตีทุกฝ่ายไปหมด ด้วยอคติ อวิชชา ขาดความรู้สติปัญญา
4.การจัดการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม เพราะยอมต่อการกดดันของนักการเมืองและต่างประเทศ
l 6.เรื่องที่น่าสนใจ คือ มุมมองแบบสามัญธรรมดาของชาวบ้าน ที่มองจากความเป็นจริงที่สัมผัสได้ ชาวบ้านจับหลักง่ายๆ ว่าทำ 10 เรื่อง ดี 7-8 เรื่อง, ไม่ดีหรือยังไม่ชัดเจน 2-3 เรื่อง ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว และชาวบ้านจะใช้หลักเปรียบเทียบผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมา “รัฐบาลประยุทธ์ ดีกว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์” รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องทำตามทักษิณ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ขณะที่รัฐบาลประยุทธ์ อิสระจริงใจเอาจริง
l 7.แต่เรื่องที่ลงลึกถึงขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมประชาธิปไตย ชาวบ้านยังไปไม่ถึง นี่จึงเป็นบทบาทของผู้นำการเปลี่ยนแปลง และปัญญาชนที่มีคุณภาพ ต้องศึกษาทำความเข้าใจโดยเร็ว แล้วรีบดำเนินการโดยด่วนทันที เพราะหากช้ากว่านี้ ทุกอย่างจะสายไปน่ะ,
ลุงตู่และมิตรสหายที่รัก วันเวลาของการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว จงทำเยี่ยงรัฐบุรุษ มีวิสัยทัศน์ กล้าเสียสละกล้าตัดสินใจ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี