เป็นที่ตกตะลึงเมื่อช่วงกลางปี ที่รัฐบาลไทยได้ออกพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ที่มีสาระสำคัญ เพิ่มโทษแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ปรับหัวละ 4 แสนบาท
ยกตัวอย่างว่า ถ้ามีลูกจ้าง 5 คนไม่มีใบอนุญาต ก็ต้องโดนปรับถึง 2 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ กระทบกระเทือนถึง SME เพราะรัฐออกกฎหมายทั้งที่ไม่มีมาตรการช่วงการเปลี่ยนผ่าน จนสุดท้ายรัฐบาลต้องแก้กฎหมายเลื่อนใช้บังคับไปหลังปีใหม่ 1 มกราคม ปี 2561... ถ้าว่าไปแล้ว ช่วงนี้ถือเป็นแฮปปี้อาวส์ของแรงงานเถื่อนที่รัฐบาลจะไม่จับกุม โดยมีเวลาอีก 3 เดือนครึ่งที่จะเตรียมตัวเองให้ถูกกฎหมาย
เวลายิ่งเหลือน้อย แต่มาตรการยังเปลี่ยนเป็นรายปักษ์กันทุก 15 วันเลยทีเดียว เล่นเอางงตามๆ กัน เลยอยากจะขอเล่าแบบชัดๆว่า ผู้ประกอบการจะต้องอยู่อย่างไรใน พ.ศ. นี้
หลักง่ายๆ แต่เป็นเรื่องแปลก คือ ทางการไทยไม่ยอมรับว่า“มีแรงงานเถื่อนที่หนีเข้ามาทำงานในประเทศ” ...ที่ต้องพูดอย่างนี้เพราะพอจะแก้ปัญหาแรงงานเถื่อนหนีเข้าประเทศทีไร ก็ให้ไปใช้มาตรการ MOUดังนั้นจึงจะขออธิบายง่ายๆ ว่า MOU คืออะไร
MOU คือ Memorandum of Understanding หรือบันทึกความเข้าใจระหว่างฝ่ายไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน กัมพูชา, ลาว, พม่า ความว่า หากเราต้องการคนงานในประเทศใด ให้ไปทำหนังสือขอโควตากับกระทรวงแรงงาน เพื่อส่งเรื่องผ่านสถานทูตไปประเทศปลายทาง โดยประเทศปลายทางจะให้กระทรวงแรงงานของตนเอง นำรายชื่อคนในประเทศตนที่ลงทะเบียนสมัครงานไว้ ที่มีคุณสมบัติตรงกับที่นายจ้างไทยต้องการ แล้วส่งรายชื่อมาให้นายจ้างฝั่งไทยเลือก เมื่อเลือกคนงานแล้ว ก็เป็นกระบวนการนำข้ามฝั่งชายแดน เพื่อประทับตราวีซ่าแรงงานและออกหนังสือทำงาน รวมถึงตรวจร่างกายและฝึกอบรมให้เข้าใจความเป็นคนไทย ในวันเดียวกัน แถวบริเวณด่านตรวจที่จะเข้าประเทศมา
แต่ถ้าพูดให้ชัดอีก มาตรการตาม MOU มันคือการกวักมือเรียกคนงานเข้ามาในประเทศไทย ....ขีดเส้นใต้ 500 ครั้ง..... “นี่ไม่ใช่มาตรการแก้ไขปัญหาแรงงานเถื่อน ที่เข้ามาแล้ว” เพราะมาตรการ MOU มันใช้กับแรงงานที่ยังไม่เข้ามา ทีนี้พอจะแก้ไขเรื่องแรงงานเถื่อนเข้ามาโดยไม่มีเอกสารกันทีไร รัฐก็จะบอกว่าไปทำตาม MOU สิ ... ในความเห็นผม มันไม่ใช่การแก้ถูกที่คัน เพราะแรงงานเขาเข้ามาแล้ว
และวิธีการที่เคยใช้กันอยู่ มันก็ออกจะแปลกๆ ถ้าหวังให้นายจ้างไปทำด้วยตัวเองตามมาตรการที่รัฐเขียนไว้ มันมีโอกาสที่จะไม่ได้แรงงานคนเดิมที่เคยใช้งานอยู่ในประเทศไทย นึกดูสิว่า ถ้าให้ลูกน้องที่ทำงานถูกใจกันมา กลับไปพม่าเพื่อไปทำหนังสือเดินทาง ขอวีซ่าแรงงาน และทำหนังสือทำงาน ก็เสี่ยงว่าจะให้เงินไปแล้วไม่กลับมาอีก
ที่สำคัญขั้นตอนทางราชการก็ยากมาก เช่น หากจะเอาคนงานพม่าไปลงทะเบียนตามกฎหมาย ก็ต้องเริ่มจากการไปขอโควตาขอมีแรงงาน จากนั้นกระทรวงแรงงานจะส่งข้อมูลผ่านสถานทูตไปยังกระทรวงแรงงานพม่า โดยพม่าจะเลือกรายชื่อคนที่สมัครลงทะเบียนไว้ แต่เรายังต้องลุ้นอีกว่าเจ้าหน้าที่พม่า จะเลือกรายชื่อคนงานของเราที่ส่งกลับไปทำตามขั้นตอนหรือไม่ ... จะมีกี่คนที่ทำเป๊ะได้ขนาดนั้น
ในทางความเป็นจริงที่ทำกัน คือการจ้างบริษัทตัวแทนหรือเอเยนซี่ ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวของไทย โดยเอเยนซี่เอกชนที่ว่านี้ มีเครือข่ายเอเยนซี่แรงงานด้วยกันในพม่า ซึ่งต้องประสานงานแล้วจับให้ชื่อมันชนกัน มันถึงจะได้แรงงานคนเดิม
แต่เอาจริงๆ ก่อนแรงงานเถื่อนจะเดินทางกลับพม่าก็คือแรงงานผิดกฎหมาย และขนคนงานที่ผิดกฎหมายกลับไปประเทศต้นทาง ว่าไปแล้วมันก็ผิดกฎหมาย มันเลยเป็นช่องโหว่รีดไถกันตลอดทาง
ถ้าพูดไปแล้วบริษัทเอเยนซี่ได้เข้ามาแทรกในช่องโหว่อันนี้ เพราะความเป็นจริงที่บริษัทเอเยนซี่ทำ คือการอำนวยความสะดวก เอารถตู้มารับแล้วส่งไปปลายทางชายแดน มันเลยทำให้ธุรกิจนี้ดูสีเทา ทั้งที่ต้นเหตุมาจากมาตรการของรัฐ ไม่เปิดทางให้มีกระบวนการเอาแรงงานที่เข้ามาโดยผิดกฎหมาย ไปสู่กระบวนการที่ถูกต้อง และก็ท่องจำกันแต่ให้ไปทำ MOU ซึ่งมันเกาไม่ถูกที่คัน
ย้อนอดีต เรื่องนี้เคยมีการแก้ไขกันเป็นจริงเป็นจังก็สมัยรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้มีการออกบัตรชมพู หน้าตาคล้ายๆ บัตรประชาชน ประหนึ่งนิรโทษกรรมชั่วคราว ให้แรงงานเถื่อนที่เข้ามาโดยไม่มีเอกสาร ไปลงทะเบียนและอยู่ได้ชั่วคราว 2 ปี นี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการสานต่อให้ประเทศพม่า กัมพูชา ลาว เข้ามาทำหนังสือเดินทางให้กับแรงงานที่ได้ลงทะเบียนไปแล้ว ขั้นตอนนี้ทางการเรียกว่า การพิสูจน์สัญชาตินั่นเอง แต่รัฐบาลต่อมาไม่ค่อยให้ความสำคัญจนบัตรพวกนี้หมดอายุไป แรงงานที่เคยลงทะเบียนก็กลับกลายเป็นแรงงานเถื่อนไปอีก มีแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่มีเอกสารครบ ได้เป็นแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมาย ... เลยทำให้งานนี้ไม่ง่ายครับ เพราะต้องมีการบูรณาการทั้งกระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย
พอมาถึงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ใช้มาตรการบัตรชมพูของนายกฯอภิสิทธิ์ ให้มีการลงทะเบียนใหม่อีกรอบ บวกต่ออายุอีก 1 ครั้ง ซึ่งบัตรชมพูทุกใบจะหมดอายุแบบถาวรในเดือนมีนาคมปี 2561 ...ผมก็นึกว่า จะมีการสานต่อมาตรการที่ดีขึ้น ให้แรงงานมีหนังสือเดินทางและใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้องแบบสมบูรณ์ แต่อยู่ดีๆ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ดันมาออกกฎหมายเพิ่มโทษปรับแรงงานเถื่อน 4 แสนบาทต่อหัวมาซะงั้นเลย นายจ้างน้อยใหญ่ต่างปิดกิจการชั่วคราว โอดครวญกันทั้งประเทศ
กลับมาที่มาตรการเยียวยาปัจจุบันแบบ “วัวหายล้อมคอก” เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนงง คือช่วงใหม่ๆก็บอกว่าให้ไปทำตาม MOU อย่างเดียว จะไม่มีการออกบัตรชมพูเพื่อนิรโทษกรรมให้อีก ซึ่งผมก็ได้อธิบายไปแล้วข้างต้นว่ามาตรการ MOU มันเกาไม่ถูกที่คัน แต่ด้วยความที่นายจ้างก็กลัว ลูกจ้างก็กลัว เลยต้องไปขอโควตาแรงงาน เพื่อทำตามมาตรการ MOU
แต่ผ่านไปไม่ถึงสองสัปดาห์ก็เพิ่มแนวทางใหม่อีกว่า ไม่ต้องทำตาม MOU ก็ได้ ไม่ต้องเอาคนงานกลับประเทศต้นทางก็ได้ แต่ใช้วิธีให้ไปลงทะเบียนแรงงานใหม่ โดยเอารูปถ่าย 2 นิ้ว 3 ใบไปจดแจ้งลงทะเบียนและอีกเดือนต่อมาก็นัดสัมภาษณ์ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้าง–ลูกจ้าง จากนั้นก็ป่าวประกาศว่า ทั้ง 3 ประเทศต้นทางให้ความร่วมมือดีมากที่จะมาเปิดศูนย์ชั่วคราวทำหนังสือเดินทางในประเทศไทย..ปัดโธ่ ทำไมไม่บอกแต่แรกเพราะมีคนงานจำนวนมากต้องออกนอกประเทศไปก่อน กิจการห้างร้านก็ต้องปิดชั่วคราว เป็นการประกาศมาตรการแบบไม่เตรียมตัว พลาดแล้วพลาดอีก
แต่ล่าสุด สัปดาห์ที่แล้วก็เกิดปัญหาว่า“ประเทศลาว”ไม่ยอมมาตั้งศูนย์ทำหนังสือเดินทางในไทย ดังนั้นกรณีเฉพาะแรงงานลาวต้องย้อนกลับไปใช้มาตรการตาม MOU ช่างปวดหัวดีแท้สำหรับนายจ้าง บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า มาตรการรัฐที่ประกาศออกมา ทำไมมันถึงขาดการเตรียมตัวได้ขนาดนี้
ฉะนั้น กรณีประเทศลาว ผมแนะนายจ้างว่า ยอมเสียเงินจ้างเอเยนซี่ฝั่งไทยให้ดำเนินการดีกว่า เพราะหากต้องไปทำหนังสือเดินทางใหม่ พาลูกจ้างไปลงตราวีซ่าแรงงาน ขอหนังสือทำงาน ตรวจร่างกาย และฝึกอบรมความเป็นไทยที่บริเวณหน้าด้านอีก มันจะยุ่งยากมาก ... แต่ย้ำนะครับ ต้องเป็นเอเยนซี่ถูกต้องตามกฎหมายที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักบริหารแรงงานต่างด้าวเท่านั้น โดยไปดูรายชื่อได้ในเว็บไซต์ www.doe.go.th
นอกจากนี้ ยังอยากฝากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เกี่ยวกับปัญหาลูกของแรงงานต่างด้าวไม่ว่าจะเถื่อนหรือไม่เถื่อนก็ตาม เรื่องนี้ไม่ปรากฏมาตรการแก้ไขที่ชัดเจนเลย วันข้างหน้าเราจะมีลูกแรงงานต่างด้าว ที่พูดภาษาถิ่นของชาติตัวเองไม่ได้ จะกลับไปประเทศตัวเองก็ไม่รู้จัก จะอยู่ในประเทศไทยก็ไม่มีสถานะความเป็นบุคคล ถ้ายังปล่อยอย่างนี้ต่อไป สิ่งที่จะตามมามันคือปัญหาความมั่นคงแห่งชาติ ขอวิงวอนทุกฝ่ายบูรณาการเรื่องนี้โดยด่วน
ท้ายสุดแล้ว มาตรการนี้เป็นมาตรการทางเศรษฐกิจที่สำคัญ และมันกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็ก จนไปถึงในภาคครัวเรือน อันนี้ต้องเห็นใจประชาชนด้วย เขาก็อยากทำให้ถูกกฎหมาย แต่ที่มันไม่ถูกกฎหมายจนถึงขณะนี้ เพราะมาตรการของรัฐมีความสับสน จนเป็นเหตุของการเขียนคอลัมน์ในวันนี้ “มาตรการแรงงานต่างด้าว ความสับสนแห่งชาติ”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี