เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง และเกี่ยวพันกับชีวิตราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจทั่วประเทศ มีผลกระทบต่อประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ และเป็นต้นเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งของวิกฤติของชาติที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาราว 16 ปีแล้ว
นั่นคือเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่เกิดความระส่ำระสายอย่างหนักหน่วงมาตั้งแต่ยุคนักการเมืองเรืองอำนาจและยังตกทอดมาถึงทุกวันนี้ ทำให้ชีวิตบุคลากรของรัฐตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือทางการเมือง และกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง จนกระทั่งติดคุกติดตะราง ถูกยึดทรัพย์ และบังเกิดหายนะแก่ชีวิตครอบครัวอย่างน่าเวทนา
การทุจริต การฉ้อฉล การบิดเบือนการใช้อำนาจจนกฎหมายใช้บังคับไม่ได้ และการไม่นำพาต่อประเทศชาติและราษฎรเป็นต้นตอปัญหาประเทศชาติ ดังที่ปรากฏในบทพระราชปรารภในรัฐธรรมนูญ 2560 ล้วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับความวิปริตในระบบการแต่งตั้งโยกย้ายอย่างสำคัญด้วย จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกันสักครั้งหนึ่งว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และจะแก้ไขกันอย่างไร จึงจะทำให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขสืบไป
แต่เดิมมานั้นการตรากฎหมายก็ดี การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทั้งหลายก็ดี เป็นพระราชอำนาจโดยเฉพาะของพระมหากษัตริย์ ครั้นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ระบบดังกล่าวก็ปรับปรุงไปตามยุคสมัย
ในการตรากฎหมายยึดหลักพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตรากฎหมายตามคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา โดยมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
หมายความว่า รัฐสภาเป็นผู้จัดทำร่างกฎหมาย แล้วนำความกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์เพื่อทรงพิจารณาลงพระปรมาภิไธย และเมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วจึงประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
มีบทยกเว้นพระราชอำนาจในเรื่องนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยหรือไม่พระราชทานคืนมาในเวลาที่กำหนด รัฐสภาสามารถหยิบเรื่องนี้ขึ้นพิจารณาใหม่ได้ และทูลเกล้าฯถวายเพื่อลงพระปรมาภิไธยอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยหรือพระราชทานคืนมารัฐสภาอาจลงมติด้วยคะแนน 2 ใน 3 หรือ 3 ใน 5 แล้วแต่กรณียืนยันให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายได้
ทว่าในทางปฏิบัตินั้น รัฐสภาทั้งหลาย สมาชิกรัฐสภาทั้งหลาย ล้วนให้ความเคารพต่อพระราชอำนาจ เมื่อใดที่ไม่พระราชทานคืนมา หรือไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย รัฐสภาและสมาชิกก็จะไม่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพิจารณาอีก ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีงามสำหรับประเทศไทยตลอดมา
สำหรับเรื่องแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการก็เช่นเดียวกัน แต่เดิมมาเป็นพระราชอำนาจโดยเฉพาะของพระมหากษัตริย์ และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 แล้ว ก็มีการปรับปรุงให้เป็นไปตามกาลสมัย ที่สำคัญคือ
ประการแรก มีการแบ่งประเภทข้าราชการเป็นสองระดับ เพื่อมิให้เป็นพระราชภาระมากเกินไป นั่นคือ ระดับต้น ให้หัวหน้าส่วนราชการโดยเฉพาะคณะรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายได้โดยตรงและมีผลเมื่อมีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนั้น
อีกระดับหนึ่ง ยังคงเป็นพระราชอำนาจโดยเฉพาะ การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และการแต่งตั้งโยกย้ายจะมีผลตามกฎหมายเมื่อมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ
ที่ปรับปรุงขึ้นใหม่คือ รัฐบาลโดยรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้มีความเห็นตั้งต้นในการแต่งตั้งโยกย้าย จากนั้นก็นำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโยกย้าย และเป็นพระราชอำนาจเด็ดขาด แตกต่างจากกฎหมายที่รัฐสภาอาจทบทวนได้
ต้องย้ำว่าในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายสำหรับข้าราชการระดับนี้เป็นพระราชอำนาจโดยเด็ดขาด รัฐบาลไม่มีสิทธิ์ที่จะทบทวนหรือดื้อรั้นโดยเด็ดขาด นั่นคือในกรณีที่ไม่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโยกย้ายก็ดี หรือในกรณีที่พระราชทานคืนมาก็ดี ก็เป็นอันยุติว่าไม่มีการแต่งตั้งโยกย้าย
ตามที่เสนอไปนั้น ซึ่งรัฐบาลจะต้องพิจารณาดำเนินการประการอื่นต่อไป
ประการที่สอง รัฐบาลที่มีความจงรักภักดีย่อมมีความสำเหนียกในราชประเพณีว่า เมื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลผ่านไปพอสมควรแล้ว หากยังไม่พระราชทานคืนมาหรือยังไม่โปรดเกล้าฯ ก็จะมีการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
ขอรับพระราชทานเรื่องนั้นกลับคืนมาเพื่อดำเนินการอย่างอื่นต่อไป หรือนายกรัฐมนตรี ขอพระราชทานพระราชวโรกาสเข้าเฝ้าฯ เพื่อกราบบังคมทูลเหตุผลและความจำเป็น และน้อมรับพระราชวินิจฉัยปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นกรณีขอรับพระราชทานคืนมา
ไม่มีใครที่กล้าบังอาจแสดงท่าทีว่า แม้ไม่โปรดก็จะแต่งตั้งคนอื่นมาทำหน้าที่ต่อไป ซึ่งต้องถือว่าเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจที่ไม่อาจให้อภัยได้
การอันเป็นไปตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตลอดจนรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งนิติราชประเพณี ก็เป็นมาอย่างนี้ บ้านเมืองจึงสงบร่มเย็นเรียบร้อย
ทว่าในระยะ 16 ปีมานี้ มีความพยายามลิดรอนพระราชอำนาจเกิดขึ้น ได้ใช้เล่ห์กลอย่างแยบยลตั้งแต่การใช้ถ้อยคำว่า“มีมติ”หรือ“มีคำสั่ง”ให้“แต่งตั้ง”หรือ“ย้าย” โดยให้มีผลเมื่อมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ทำให้หลงผิดคิดว่าพวกที่มีมติหรือคนที่มีคำสั่งเป็นผู้ที่มีอำนาจ ซึ่งเป็นการผิดมหันต์
ที่ถูกต้องคือ “มีมติ” หรือ “มีคำสั่ง” ให้ “นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณามีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ...”
ประเทศไทยสับสนมามากพอแล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับเข้าสู่ความถูกต้อง ต้องทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นไปตามหลักการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และนิติราชประเพณีนี้ให้จงได้!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี