โดยทั่วไปแล้ว การจัดการประชุมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องราวระดับโลกนั้น มักจะมีผู้จัดหรือเจ้าภาพเป็นรัฐบาล องค์การระหว่างประเทศ (เช่น องค์การสหประชาชาติ มหาวิทยาลัย สถาบันมันสมอง หรือภาคเอกชน) ซึ่งไม่ค่อยได้พบเห็นว่า ผู้จัดงานระดับนี้ จะเป็นเพียงฝ่ายปกครองท้องถิ่น
และยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้นไปอีก หากฝ่ายท้องถิ่นจะจัดการประชุมระหว่างประเทศด้วยพละกำลังของตนเอง หรือนัยหนึ่ง ก็เรียกว่าเป็นความกล้าหาญชาญชัยอย่างยิ่งที่จะยกระดับท้องถิ่นของตัวเองไปสู่โลกกว้าง และนำโลกกว้างเข้ามาสู่ท้องถิ่นของตน
แต่รัฐบาลรัฐเปรัคของมาเลเซียถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างพิเศษที่น่าติดตาม เพราะเขาสามารถกระทำการดังกล่าวได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งๆ ที่ทั่วไปแล้ว รัฐเปรัค เองก็มิได้ถูกจัดเป็นรัฐแนวหน้า หรือมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือน ยะฮอร์ ซาลังงอร์ ปีนัง มะละกา หรือเขตปกครองกรุงกัวลาลัมเปอร์
โดยการที่รัฐเปรัคจะสามารถกระทำการเช่นนี้ได้สำเร็จ ก็คงมีหลายปัจจัยประกอบ (ซึ่งน่าจะนำมาเป็นแบบอย่าง บทเรียน หรือข้อคิดให้กับฝ่ายปกครองท้องถิ่นอื่น ไม่ว่าในมาเลเซีย หรือนอกมาเลเซีย เช่น ไทย) วิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นตั้งใจของระดับผู้นำ ซึ่งในกรณีรัฐเปรัคก็คือ ตัวมุขมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีแห่งรัฐ
การร่วมมือกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลท้องถิ่น กับแวดวงธุรกิจ และวิชาการ รวมทั้งการสนับสนุนให้กำลังใจโดยสุลต่านแห่งรัฐ
นอกจากนั้น ก็ต้องมีสถาบันวิชาการที่จะรองรับการจัดประชุมระหว่างประเทศนี้ภายใต้หัวข้อ Innovation Pathways towards Sustainable Development การค้นหาแนวทางใหม่ที่สร้างสรรค์ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน (เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของประชาคมโลกทั้งมวล ผ่านและในกรอบขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยเป้าหมาย (17 ประการ) ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (UN Sustainable Development Goals - SDGs) (ซึ่งประเทศไทยโดยนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้เข้าร่วมและรับรองเรื่องนี้ในการประชุมองค์การสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน 2558) โดยในการนี้ รัฐบาลรัฐเปรัคได้จัดตั้งสถาบัน Institut Darul Ridzuan (IDR) ขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบ
-การมีส่วนร่วมของประชาชนลูกบ้าน เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งคู่ขนานกับการจัดประชุมวิชาการระหว่างประเทศนั้น ก็มีการจัดงานเรียกว่ามหกรรมแห่งความคิด Festival of Ideas เพื่อชาวบ้านทุกเพศทุกวัยได้มาแสดงผลงานและถกเถียงความคิดความอ่านต่างๆ กัน เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
-การจัดงบประมาณเพื่อการนี้และการมีความสามารถในการขอความร่วมมือสนับสนุนทางการเงินจากสถาบันวิชาการและภาคเอกชน
-ความน่าเชื่อถือของตัวเจ้าภาพ ซึ่งในกรณีนี้คือตัวมุขมนตรี ซึ่งเดิมเป็นนักวิชาการ เป็นนักการศึกษา ได้รับปริญญาตรี โท เอก จากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ก็มีทุนเดิมของเครือข่ายทางด้านการศึกษา ที่อำนวยให้สามารถเชื้อเชิญผู้คนจากต่างประเทศได้
-ความคิดอ่านของบรรดาผู้นำรัฐเปรัคที่คิดพึ่งตนเองเป็นหลัก แทนที่จะจมปลักอยู่กับการแบมือขอ หรือรอรัฐบาลกลางจะลงมา “โปรด”
-การมีสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งในกรณีนี้ เมืองอิโปห์ (Ipoh) เมืองหลวงของรัฐเปรัค มีศูนย์อาคารสถานที่การประชุม (Connection Centre) แบบมาตรฐานสากลซึ่งเป็นของรัฐบาลท้องถิ่น มิใช่ของรัฐบาลกลางแต่อย่างใด(ซึ่งก็อดให้คิดเรื่องกรณีรัฐบาลกลางของไทยชุดหนึ่ง ปฏิเสธการจัดตั้งศูนย์ที่ภูเก็ต แม้ว่าได้กระทำการไปแล้วที่เชียงใหม่ เป็นการเลือกปฏิบัติ แต่ก็สะท้อนว่า แล้วทำไมท้องถิ่นภูเก็ตจะไม่ร่วมมือกันจัดทำกันเองเล่า)
หัวข้อเรื่องก็บ่งบอกและสะท้อนว่า ท้องถิ่นต้องโยงใยกับโลก และการจะพัฒนาไม่ว่าในระดับท้องถิ่น ประเทศนั้น ก็ต้องสอดคล้องและไปในทิศทางเดียวกับกรอบประชาคมโลก คือกรอบและเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน 17 ประการ (SDGs) ก็หมายความว่า รัฐเปรัค นั้น เขาจะพัฒนาไปในทิศทางเดียวกับ UNSDGs (ก็อดคิดไม่ได้ว่ายุทธศาสตร์ 4.0 ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นมันสอดคล้องกับ SDGs แค่ไหนอย่างไร ทั้งที่พลเอกประยุทธ์ ก็ได้ไปร่วมการประชุม SDGs ที่นครนิวยอร์ก มาแล้ว)
ในการประชุมครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประมาณ 2,000 คนจากทั่วสารทิศของมาเลเซีย รวมทั้งมีการเชิญผู้เข้าร่วมต่างประเทศมาเพื่อแสดงปาฐกถา เสวนา และปราศรัย ซึ่งต่างก็เป็นบุคคลในระดับอดีตประธานาธิบดี รัฐมนตรี นายกเทศมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด จากทั่วโลก ไปจนถึงนักบินอวกาศสตรีอเมริกัน นามว่า ดร.แคทเธอรีน โคลแมน (Dr.Catherine Coleman) ซึ่งการแสดงความคิดเห็นก็มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน คือความเป็นหนึ่งเดียวกันของมวลมนุษย์ การที่มวลมนุษย์จะต้องอยู่ได้กับสิ่งแวดล้อมทางธรรรมชาติ ด้วยความเข้าอกเข้าใจ ด้วยความเคารพ เพื่อความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน โลกต้องพึ่งพาอาศัยกันการหนึ่งใดไม่มีความโดดเดี่ยว แต่มีผลกระทบต่อกันและกันและเป็นลูกโซ่ได้ อีกทั้งการจะพัฒนานั้น ต้องไม่ดูที่ตัวเลขหรืออัตราการเจริญเติบโตเท่านั้นอีกแล้ว แต่ต้องดูว่า มีการกระจุกตัวของความมั่งมีไปอีกหรือเปล่า และฉะนั้นต้องทบทวนวิธีการพัฒนา โดยต้องมองที่การกระจายความเจริญก้าวหน้าให้ทั่วถึง และลดความเหลื่อมล้ำ คือให้ตัวเลขโตน้อยก็ได้ แต่ให้การกระจายรายได้และความมั่งมีศรีสุขให้ทั่วถึงและทัดเทียมยิ่งขึ้น
เมื่อผมเองกลับมาถึงบ้าน ก็รีบเขียนบทความนี้ออกมา โดยมุ่งหวังให้พวกเราชาวไทย ได้ช่วยกันตั้งสติ ทบทวนตัวเองเป็นสำคัญ ให้ได้ช่วยเหลือท้องถิ่นของตนเอง โดยไม่ต้องมัวนั่งรอความช่วยเหลือจากรัฐ หรือส่วนกลางอีกต่อไป ส่วนภาครัฐทั้งส่วนกลาง และท้องถิ่นหากจักทำการใดๆ ก็ต้องมุ่งคิดถึงคน ถึงประชาชนตนเองเป็นที่ตั้ง และเมื่อคิดได้แล้วก็นำเอาไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักของ UNSDGs เพื่อผลประโยชน์จะได้กลับไปที่ประชาชนอย่างแท้จริง มิใช่การเอาตัวเลขสถิติต่างๆ ในภาพรวมมากล่าวอ้าง โดยมองข้ามการกระจุกตัวไป ซึ่งหากทำได้ ก็จะไม่มีประชาชนคนใด ถูกทิ้งเอาไว้ที่ชายขอบเมื่อนั้นความยั่งยืนในสังคมก็พึงจะเกิดขึ้นจริง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี