อยู่ๆ ทักษิณก็เทียวกลับมาอ้อนประชาชนคนไทยอีกครั้ง...
อาศัยโอกาส วันที่ 19 กันยายน 2560 ครบรอบ 11 ปี 19 กันยายน 2549 ที่ คมช.ทำรัฐประหาร
ทวิตป้อนคำหวาน อ้างจำได้ไม่ลืมว่า 11 ปีที่ผ่านมา เป็นอย่างไร
คนไทยจำนวนไม่น้อยคงแขยงใจ เพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกผัวเก่าที่กลัดมัน เวียนกลับมาหยอดคารมหวาน หลังจากเคยฟันแล้วทิ้งไปหลายรอบ
ช่วงนี้ น้องสาวหนีคดีจำนำข้าว ค่าเสียหายหลักหมื่นล้าน
ลูกชาย ก็จ่อโดนคดีฟอกเงิน อันสืบเนื่องมาจากเงินกู้ทุจริตกรุงไทย (ซึ่งตนเองหนีคดีหลักอยู่ในฐานะบิ๊กบอส-ซุปเปอร์บอส)
ตัวเอง ก็ถูกตามเก็บภาษีหลักหมื่นล้านที่เคยได้อาศัยอำนาจการเมืองซุกไว้
คดีเก่าๆ อีกเพียบ หมายจับไม่ต้องนับ
1. จำได้... ใครเคยปลุกระดม เมื่อช่วงชิงได้อำนาจรัฐให้น้องสาว ตบรางวัลให้แกนนำม็อบเป็นรัฐมนตรี ก็ถีบหัวเรือส่งมวลชนเสื้อแดง เพื่อเดินหน้าดันนิรโทษกรรมสุดซอย ล้างผิดคนฆ่า-คนเผา-คนโกง
แต่เมื่อไม่สำเร็จ ตัวเองยังลอยคอ แถมน้องตามไปลอยด้วย
ก็กำลังจะกลับมาออดอ้อน หวังใช้บริการคนไทยบางกลุ่มต่อ
2. วันนี้ บริวารตัวเอ้พยายามเคลื่อนไหว โดยยกเอาเรื่องคนตายเมื่อปี 2553 มาเคลื่อนไหวอีก
ไม่พูดถึงกองกำลังติดอาวุธชุดดำ ปฏิบัติการเหี้ยมกลางกรุง กลางม็อบ ยิงใส่ทหารจะจะ คนเห็นทั้งประเทศ แถมยังยึดอาวุธปืนไปจากทหารอีกนับร้อยกระบอก ยังไม่คืนจนถึงวันนี้
ทั้งๆ ที่ หากกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยที่พรรคเพื่อไทยผลักดันช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์สำเร็จ ไม่ถูกคัดค้านเสียก่อน บรรดาคนฆ่า ก็ได้รับการนิรโทษกรรมไปเลย โดยที่ตอนนั้น สส.เพื่อไทยไม่มีใครลงมติคัดค้านเลยแม้แต่คนเดียว แม้แต่แกนนำเสื้อแดง และลูกสาวเสธ.แดง (งดออกเสียง)
3. ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ โกหกบิดเบือนกันไม่ได้ เพราะมันเผยกมลสันดานที่แท้จริงของคนที่เกี่ยวข้องออกมาหมดแล้ว คงเหลือแต่คนที่ความจำสั้น หรือหน้ามืดตาบอด ที่จะหลงเชื่อการปลุกปั่นปลุกระดมงวดนี้
ในเว็บไซต์สถาบันพระปกเกล้า มีข้อเขียนเรื่อง “นิรโทษกรรมเหมาเข่ง”
ผู้เรียบเรียง คือ ฐิติกร สังข์แก้ว และดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ คือ ศาสตราจารย์ นรนิติ เศรษฐบุตร
เนื้อหาสาระชัดเจน เป็นข้อมูลสำคัญทางวิชาการ ขอนำบางส่วนมาเผยแพร่ไว้ ณ ที่นี้
3.1 ความหมาย
“นิรโทษกรรมเหมาเข่ง” หรือ “นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย” มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน”
โดย “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” เป็นจุดพลิกผันสำคัญอันนำไปสู่การประกาศยุบสภาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 อันเนื่องมาจากกระแสต่อต้าน “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ที่เสนอโดยนายวรชัย เหมะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และคณะ เนื่องมาจากร่าง พ.ร.บ. ที่นำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2 นั้น เป็นร่างที่คณะกรรมาธิการเสียงข้างมากได้แก้ไขเนื้อหาจากร่าง พ.ร.บ. ฉบับเดิมของนายวรชัย เหมะ ที่มีวัตถุประสงค์ต้องการนิรโทษกรรมผู้ต้องขังจากคดีเผาศาลากลางจังหวัดจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในปี 2553
ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ประกอบด้วย 7 มาตรา คณะกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่เป็นฝ่ายรัฐบาลได้แก้ไขมาตรา 3 และมาตรา 4 ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวให้มีผลนิรโทษกรรมครอบคลุมหลายฝ่าย ทั้ง “ฝ่ายพันธมิตรฯ และฝ่าย นปช.” ที่สำคัญยังรวมถึง “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ซึ่งกรณีหลังนี้ทำให้เกิดเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองปี 2553 พรรคฝ่ายค้าน องค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ รวมทั้งแกนนำ นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเท่ากับเป็นการนิรโทษกรรมให้แก่คดีอาญา “ฆ่า-เผา” และ “ผู้ทุจริตคอร์รัปชั่น” ด้วย
3.2 ความเป็นมาของการนิรโทษกรรมเหมาเข่ง
ในการประชุมพรรคเพื่อไทยเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร ได้กล่าวถึงการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยเห็นว่าควรสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับที่เสนอโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ความว่า “...ผม ได้คุย และขอบคุณท่านเฉลิมแล้ว เห็นด้วย จะทำอะไรควรทำอะไรให้มันสุดซอย ร่างของวรชัย เหมือนเดินไปครึ่งๆ กลางๆ มันไม่สุดซอย เมื่อจะทำแล้วก็ทำให้มันสุดซอย แต่ถ้าจะเร่งเอาเข้าสมัยประชุมวิสามัญ 3 วาระรวด ไม่เห็นด้วย จะถูกฝ่ายค้านโจมตีอีก ขณะนี้ยังไม่มีการชี้แจงเหตุผล รายละเอียดทั้งหมด อยากให้เอาเข้าสมัยประชุมหน้า ไม่เป็นอะไร ผมรอได้...”
แต่กระนั้น “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พ.ศ. ...” ก็ต้องเผชิญกับกระแสการต่อต้านกรณีการ “เหมายกเข่ง” หรือ “สุดซอย” ทั้งจากนักการเมือง นักวิชาการ และภาคประชาชน
ทั้งนี้ ในที่ประชุมกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ได้ลงมติเห็นชอบร่างดังกล่าวที่เสนอแก้ไขโดย นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ รองประธานกรรมาธิการ ด้วยคะแนน 18 เสียง ซึ่งเป็นกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด
3.3 ช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2556 ท่ามกลางการพลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม อย่างแข็งขันโดยแกนนำระดับสูงของพรรคเพื่อไทย แต่กระแสการต่อต้านร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวทั้งจากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน องค์กรระหว่างประเทศ และนักกิจกรรมต่างๆ ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง...
ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ด้วยคะแนน 20 ต่อ 7 เสียง และเตรียมที่จะพิจารณาในวาระ 2 และ 3 ต่อไป กระทั่งวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556 นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้นัดประชุมสภานัดพิเศษในวันที่ 31 ตุลาคม 2556 เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในวาระ 2 และ 3 ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้มีมติเป็นเอกฉันท์ในการสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์มีการคาดการณ์ว่าการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะใช้เวลาเพียง 1 วันเท่านั้น และภายหลังการประชุม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ได้หารือกับกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สนิทสนมกัน ได้มีการวิเคราะห์ว่า “...รัฐบาลเร่งเกมเร็วเพื่อตัดตอน ขณะเดียวกัน ประธานสภาก็รับเข้าเป็นวาระประชุมเป็นการพิเศษ ถือเป็นการลักไก่ เนื่องจากผู้ชุมนุมยังค่อนข้างน้อย จึงเห็นว่าการเป่านกหวีดหลังจากผ่านวาระ 3 นั้นไม่ทันแล้ว จึงเห็นว่าหลังจากพิจารณาวาระ 2 นายสุเทพพร้อมด้วย สส.พรรคส่วนหนึ่งจะออกมาต่อสู้เคียงข้างประชาชน จึงเห็นพ้องกันว่าจะมีการเป่านกหวีด โดยให้ประชาชนแต่งชุดดำมารวมกันที่สถานีรถไฟสามเสน ในเวลา 18.00 น. วันที่ 31 ต.ค. เป็นต้นไป แล้วจะมีการกำหนดท่าทีการเคลื่อนไหวผู้ชุมนุมอีกครั้งหนึ่ง...”
3.4 เมื่อเวลา 02.30 น. วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 21 (สมัยสามัญทั่วไป) เป็นพิเศษ แก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ... ในวาระที่ 2-3 โดยมี นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เริ่มพิจารณามาตรา 3 ซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญโดยกรรมาธิการเสียงข้างมากได้ทำการแก้ไข มีเนื้อหาระบุว่า
“...มาตรา 3 การกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือมีความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด โดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 รวมถึงองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2547 ถึงวันที่ 8 ส.ค. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำในฐานะตัวกลาง ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำนั้นพ้นจากความผิดโดยสิ้นเชิง ไม่รวมถึงการกระทำผิดในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112…”
แม้ว่าจะมีความวุ่นวายจนทำให้ต้องพักการประชุมถึง 2 ครั้ง นายสหรัฐ กุลศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี พรรคเพื่อไทย ได้เสนอญัตติปิดอภิปรายทันที ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด่าทอประธานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรา 3 ตามที่กรรมาธิการเสียงข้างมากเสนอแก้ไข ด้วยคะแนนเสียง 307 ต่อ 0 คะแนน และงดออกเสียง 4 เสียง
และที่ประชุมได้มีมติเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวในวาระที่ 3 ด้วยคะแนนเสียง 310 ต่อ 0 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง
รวมเวลาในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในวาระ 2 และ 3 ทั้งสิ้น 19 ชั่วโมง และร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป
3.5 ภายหลังจากมีการเร่งรัดบรรจุระเบียบวาระร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้าสู่การพิจารณา ทำให้แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ประกาศระดมมวลชนชุมนุมที่หลังสถานีรถไฟสามเสนในช่วงเย็นวันที่ 31 ตุลาคม เพื่อเรียกร้องให้ถอนร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว
ขณะนั้น มีการชุมนุมประท้วงของกลุ่มอื่นๆ กระจายทั่วกรุงเทพมหานครอีกอย่างน้อย 4 จุด คือ 1) เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) บริเวณแยกอุรุพงษ์ 2) กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) บริเวณสวนลุมพินี 3) กลุ่มแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ บริเวณหลังสถานีรถไฟฟ้าสามเสน และ 4) กลุ่มแพทย์ไทยหัวใจรักชาติ บริเวณหน้าโรงพยาบาลรามาธิบดี
วันที่ 4 พฤศจิกายน การชุมนุมของกลุ่มแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เดินเท้าพาผู้ชุมนุมไปทำกิจกรรมเป่านกหวีดร่วมกับกลุ่มนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย บริเวณถนนสีลม รวมทั้งมีการยกระดับการชุมนุม แม้ว่าในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะแถลงว่าได้ถอนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรมออกจากวาระการประชุมสภาแล้วก็ตาม...
4.ข้างต้นนั้น เป็นเนื้อหาบางส่วนจากข้อเขียนของนักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า
และหลังจากนั้น ก็นำไปสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ อย่างที่คนไทยได้เห็นพลังของมวลมหาประชาชน
ควรที่บันทึกไว้ให้ชัดเจนว่า ใครเคยข่มขืนย่ำยีสภา เพื่อนิรโทษกรรมสุดซอย ทรยศแม้แต่มวลชนที่ตนเองปลุกระดมให้มาตาย เพื่อให้ตนและครอบครัวบรรลุผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี