กลายเป็นประเด็นกลับมาอยู่ในกระแสสังคมอีกครั้ง สำหรับคดีทุจริตกรุงไทยปล่อยกู้เครือกฤษดามหานคร เป็นที่ทราบกันว่า
คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 โดยให้จำคุกจำเลยเกือบทุกคน คนละหลายสิบปีต่างกันตามฐานความผิดแต่ละคน แต่ยังมีคดีส่วนยังไม่พิจารณาและกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งในช่วงนี้ หลังมีการเร่งรัดให้ติดตามบุคคลที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องที่ยังหลงเหลืออยู่ว่า มีความผิดจริงหรือไม่? และจะต้องสั่งฟ้องหรือไม่? ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจต้องเร่งทำ เนื่องจากคดีผ่านมานานสิบกว่าปีและข้อหาต่างๆกำลังจะหมดอายุความลงแล้ว? ทำให้เสี่ยงต่อการพิจารณาว่า จะสั่งฟ้องทันหรือไม่? และนั่นจะส่งผลเสียต่อรัฐโดยตรง เพราะคดีนี้รัฐเป็นผู้เสียหายจากกระบวนการทุจริตของบรรดาข้าราชการ นักการเมืองและผู้เกี่ยวข้องต่างๆ?
ลำพังการตรวจสอบบุคคลต้องสงสัยกับการทุจริตการปล่อยกู้กรุงไทยนั้น ไม่อาจเป็นประเด็นเท่าไร แต่ที่เป็นประเด็นสำคัญคือ ตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งล้วนแต่มิใช่บุคคลธรรมดา และต้องอย่าลืมว่าคดีนี้อดีตนายกฯคนหนึ่งก็เป็นหนึ่งในจำเลยด้วยเช่นกัน แต่ถูกศาลฎีกาฯจำหน่ายออกจากสารบบชั่วคราว เนื่องจากเจ้าตัวหนีออกนอกประเทศไปตั้งแต่ปี 2551 จากความผิดในคดีที่ดินรัชดา
กลับมาที่ประเด็นหลัก เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมามีกระแสข่าวว่า ยังมีคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคดีปล่อยกู้กรุงไทยอีกสองคดี ที่มีข่าวทำนองว่า เจ้าหน้าที่รัฐเตรียมจะเอาผิดบุตรชายอดีตนายกฯ? คดีที่หนึ่ง คือ ข้อหารับของโจร แต่ตอนนี้ไม่สามารถเอาผิดได้แล้ว เนื่องจากคดีขาดอายุความ? คดีที่สอง คือ ความผิดในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ตามกฎหมายมีอายุสั่งฟ้องได้ 15 ปี ซึ่งจะหมดอายุลงในปีหน้านี้แล้ว?
และเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่มีกระแสข่าว บุตรชายอดีตนายกฯก็โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ค ทำนองว่ามีกระบวนการจ้องจะเอาผิดตัวเองและครอบครัว ผ่านการใช้เครื่องมือกระบวนการยุติธรรมไทยที่ถูกบิดเบี้ยวโดยผู้มีอำนาจ? พร้อมทั้งอ้างถึง“เอกสารฉบับหนึ่ง”ที่ไม่มีใครทราบเป็นความจริงเพียงใด? เพราะตามคำกล่าวอ้างไม่ได้ระบุที่มาของเอกสารดังกล่าว? แต่กลับอ้างว่า นายกฯได้สั่งการให้เร่งส่งฟ้องเรื่องจำนำข้าว โดยไม่ต้องคำนึงถึงกระบวนการยุติธรรม? ทั้งยังอ้างถึง“เอกสารอีกฉบับหนึ่ง”ที่ทีแรกระบุว่าเป็นหลักฐานสำคัญว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้ง แต่ภายหลังพบว่าเป็นหนังสือของอดีตรองอธิบดีที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ที่ส่งถึงคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมทำนองว่าได้รับคำสั่งให้แจ้งข้อกล่าวหากับบุตรชายอดีตนายกฯ? บุตรชายอดีตนายกฯยังโพสต์ต่อว่า เจ้าหน้าที่รัฐถูกตั้งธงให้หาเรื่องสั่งฟ้องตัวเองให้ได้!!!
ประเด็นนี้ยิ่งทำให้สังคมสงสัยเข้าไปอีก? เพราะเท่าที่รู้มา การสั่งฟ้องยังเป็นเพียงข่าวลือ ยังไม่มีการเรียกเจ้าตัวมาทราบข้อกล่าวหา ใช่หรือไม่? อีกทั้งจากผลประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล่าสุด ก็ให้เวลาแต่ละหน่วยงานรวบรวมข้อมูลอีกอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อจะมาสรุปอีกครั้งว่า บุตรชายอดีตนายกฯมีความผิดจริงหรือไม่?
ที่สำคัญกว่านั้น ใครหลายคนได้อ่านสิ่งที่บุตรชายอดีตนายกฯโพสต์แล้ว ก็นึกย้อนไปถึงคำวินิจฉัยของผู้พิพากษาท่านหนึ่งที่เป็นหนึ่งในองค์คณะผู้พิจารณาคดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทยที่วินิจฉัยเกี่ยวกับประเด็นเรื่องแคชเชียร์เช็ค 26 ล้านบาทที่บุตรชายอดีตนายกฯเคยทำหนังสือชี้แจงต่อคตส.ไว้ โดยประเด็นนี้จะเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาที่หน่วยงานรัฐจะเอาผิดกับบุตรชายอดีตนายกฯหรือไม่? ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ประเด็นนี้ทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยต่อความบริสุทธิ์ของเจ้าตัวในคดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย? รวมทั้งทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้วเจ้าตัวถูกกลั่นแกล้งจริงๆ หรือ?
ประเด็นมีอยู่ว่า ก่อนหมดปี 2546 ไม่กี่วันอันตรงกับช่วงรัฐบาลระบอบทักษิณ มีพนักงานบริษัทกฤษดามหานครคนหนึ่งได้ซื้อแคชเชียร์เช็ค 26 ล้านบาท หักออกจากบัญชีของผู้บริหารเครือกฤษดามหานครที่เป็นหนึ่งในจำเลยคดีกรุงไทย เพื่อสั่งจ่ายเข้าบัญชีของบุตรชายอดีตนายกฯ? ก่อนจะมีการยกเลิกรายการดังกล่าวในวันเดียวกัน มาวันรุ่งขึ้นพนักงานคนเดิมได้นำแคชเชียร์เช็คจำนวนเดียวกันนี้ไปสั่งจ่ายให้บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง อ้างว่าเป็นการชำระค่าหุ้นในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลในครอบครัวหนึ่ง ซึ่งทราบในภายหลังว่า ครอบครัวดังกล่าวที่ได้รับแคชเชียร์เช็คนี้ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวอดีตนายกฯ?
ไฮไลท์ของเรื่องอยู่ที่คำวินิจฉัยของหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาคดีกรุงไทยที่ว่า หลังจากครอบครัวดังกล่าวได้รับแคชเชียร์เช็คแล้ว ต่อมาไม่นานก็มีการสั่งจ่ายเช็คเป็นเงินจำนวนหนึ่งเข้าบัญชีบุตรชายอดีตนายกฯ ? อย่างไรก็ดี แม้บุตรชายอดีตนายกฯจะชี้แจงว่าแคชเชียร์เช็ค 26 ล้านบาท ดังกล่าวเกิดจากการที่จำเลยคนหนึ่งในคดีกรุงไทยได้ฝากซื้อหุ้นบริษัทแห่งหนึ่งผ่านบัญชีคนใกล้ตัวที่ว่ากันว่ามีความสนิทกับครอบครัวบุตรชายอดีตนายกฯ ก่อนที่จำเลยคนดังกล่าวที่ฝากซื้อหุ้น จะโทรศัพท์มาหาบุตรชายอดีตนายกฯ เพื่อจะขอนำแคชเชียร์เช็คมูลค่า 26 ล้านบาท ดังกล่าวเข้าบัญชีบุตรชายอดีตนายกฯ เพื่อโอนให้กับบริษัทหลักทรัพย์ที่ประสงค์จะซื้อ เพื่อเป็นการชำระค่าซื้อหุ้น แต่ตัวเองเกรงว่าการโอนเช็คไปมาจะทำให้ชำระค่าหุ้นไม่ทัน จึงแนะนำให้ยกเลิกการสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็ค และให้จ่ายแก่บริษัทหลักทรัพย์ดังกล่าวโดยตรงแทน สุดท้ายจึงมีการยกเลิกธุรกรรมดังกล่าวนั้น
แต่ผู้พิพากษาได้ให้คำวินิจฉัยว่า โดยพื้นฐานแล้วการซื้อขายหลักทรัพย์ ผู้ซื้อจะต้องเปิดบัญชีซื้อขายกับบริษัทหลักทรัพย์โดยตรงอยู่แล้ว ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ทั้งบุตรชายอดีตนายกฯและจำเลยที่บุตรชายอดีตนายกฯกล่าวอ้างว่าฝากซื้อหลักทรัพย์นั้น ย่อมต้องมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตัวเองอยู่แล้วเช่นกัน ซึ่งการมีบัญชีทำให้สามารถโอนเงินซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ได้ในตัว ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องมาฝากผู้อื่นชำระค่าหุ้นอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นข้ออ้างของบุตรชายอดีตนายกฯที่ว่า แคชเชียร์เช็ค 26 ล้านบาทมีขึ้นเพื่อฝากซื้อขายหลักทรัพย์นั้นจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ฟังไม่ขึ้น!!!
แปลไทยเป็นไทยง่ายๆ สั้นๆ ก็หมายความว่า แคชเชียร์เช็ค 26 ล้านบาท ที่มีการสั่งจ่ายเข้าบัญชีบุตรชายอดีตนายกฯ อ้างว่าฝากชำระค่าหุ้นก่อนที่รายการจะถูกยกเลิกไปนั้น องค์คณะผู้พิพากษาไม่เชื่อว่าเป็นการสั่งจ่ายค่าหุ้นจริงเพราะขัดกับหลักข้อเท็จจริงการชำระหุ้นโดยทั่วไปใช่หรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดข้อสงสัยของสังคมดั่งที่ระบุในตอนต้นว่า แท้จริงแล้วจุดประสงค์การสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็ค 26 ล้านบาท เป็นไปเพื่อสิ่งใดกันแน่? อีกทั้งยังมีเรื่องต้องพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับเช็คที่ถูกสั่งจ่ายจากบุคคลใกล้ตัวของครอบครัวอดีตนายกฯให้บุตรชายอดีตนายกฯว่า มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่? หลังจากบุคคลใกล้ตัวดังกล่าว ได้รับแคชเชียร์เช็ค 26 ล้านบาท จากพนักงานในเครือกฤษดามหานคร
คำวินิฉัยผู้พิพากษานี้ยังสอดคล้องกับความเห็นของหนึ่งในอดีตคตส.ผู้ทำหน้าที่ชี้มูลความผิดคดีกรุงไทยที่เคยให้ความเห็นทำนองว่า การที่มีแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายบุตรชายอดีตนายกฯ ก็เป็นเหตุอันควรสงสัยได้ว่า บุตรชายอดีตนายกฯอาจมีส่วนร่วมหรือไม่? แม้เช็คนั้นจะถูกยกเลิกภายหลังก็ตาม ซึ่งความจริงจะเป็นเช่นไร? จะมีส่วนร่วมจริงหรือไม่? ก็ให้พิสูจน์กันตามกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ดี ถ้ามีการชี้มูลความผิดจริง ก็จะมีความผิดเข้าข่ายข้อหาฟอกเงิน ซึ่งเป็นข้อหาเดียวกันกับที่มีกระแสข่าวมาก่อนหน้านี้หรือไม่ โดยข้อหาฟอกเงินนั้นมีอัตราโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 10 ปี
อย่างไรก็ดี เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมามีลิ่วล้อขาประจำเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีในระบอบทักษิณออกมาทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์บุตรชายอดีตนายกฯ โดยโพสต์เฟซบุ๊คระบุที่มาของเช็คดังกล่าวว่า จำเลยคนดังกล่าวที่เป็นผู้ฝากซื้อหุ้นมีความประสงค์จะร่วมลงทุนทำธุรกิจนำเข้ารถสปอร์ตกับบุตรชายอดีตนายกฯ โดยสั่งจ่ายเช็คเพื่อร่วมลงทุน 10 ล้านบาท แต่เนื่องจากการนำเข้ารถมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ทั้งสองฝ่ายจึงยกเลิกการทำธุรกิจ บุตรชายอดีตนายกฯจึงจ่ายเช็ค 10 ล้านบาท คืนให้ ประเด็นนี้จริงหรือไม่จริง อาจยังยากพิสูจน์? แต่ที่แน่ๆ ประเด็นนี้ดูจะเป็นหนังคนละเรื่องคนละม้วนกับสิ่งที่บุตรชายอดีตนายกฯพูดไว้ ใช่หรือไม่? ที่สำคัญถ้าทำธุรกิจรถสปอร์ตจริง เหตุใดบุตรชายอดีตนายกฯจึงไม่เคยกล่าวถึงเลย?
ไม่แปลกหากจะยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าตกลงแล้วความจริงคืออะไร? แล้วคนที่ออกมาปกป้อง บุตรชายอดีตนายกฯ คนไหนข้อมูลถูกต้องกันแน่? แล้วจุดประสงค์ในการออกหน้ามาปกป้องเพื่อสร้างความสับสน หรือเบี่ยงเบนประเด็นใช่หรือไม่?
กรณีบุตรชายอดีตนายกฯยังชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงบางประการที่กลุ่มแกนนำคนเสื้อแดง มักจะใช้เสมอๆ คือเรื่อง“คืนแล้วหรือยกเลิกแล้วเท่ากับไม่มีความผิด” รวมถึงอะไรที่เป็นคุณกับตัวเองก็บอกว่าดี แต่พอเป็นโทษ มักบอกว่าไม่ยุติธรรม เป็นการกลั่นแกล้งใส่ร้ายกลุ่มตัวเองเสมอ จริงหรือไม่? ย้อนกลับไปถึงคดีรุกป่าสงวนแห่งหนึ่ง ที่มีผู้บุกรุกป่าเป็นถึงอดีตนายกฯคนหนึ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้องครอบครองที่ดินอย่างผิดกฎหมาย โดยไม่ทราบว่าอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวน พอทราบแล้วก็ได้คืนที่ดินให้กรมป่าไม้ ต่อมาอัยการมีความเห็นไม่สั่งฟ้องเพราะขาดซึ่งเจตนา แต่เวลานั้นแกนนำเสื้อแดงคนหนึ่งออกมาพูดทำนองว่า ถึงจะแสดงเจตจำนงคืนที่ แต่ต้องบอกว่าช้าไป เพราะการเอาของที่ขโมยไปมาคืนนั้น อย่างไรก็ถือว่าไม่พ้นผิด ซึ่งแตกต่างชัดเจนกับคดีสื่อมวลชนรายหนึ่งที่เพิ่งได้รับการประกันตัวออกมาไม่นานนี้ ที่ปรากฏข้อโต้แย้งว่า ก็จ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายให้รัฐแล้ว? เหตุใดยังจะต้องเอาผิด? ว่ากันตามความจริงเหตุที่ต้องเอาผิด เพราะว่าแม้มีการคืนทรัพย์แล้วก็จริง แต่ตามกฎหมาย ถือว่าเข้าองค์ประกอบการทำผิดครบถ้วน เพราะมีทั้งเจตนาและการกระทำ ใช่หรือไม่? ส่วนการคืนทรัพย์ก็ไม่ส่งผลให้ความผิดหรือเจตนาที่ทำผิดหายไป ดังนั้นความผิดทั้งหมดจึงได้สำเร็จแล้ว อันเป็นผลให้ศาลฯมีคำพิพากษาลงโทษตามกระบวนการทางกฎหมาย การกระทำที่เอาดีเข้าตัวเองแบบนี้ ถูกแล้วหรือ?
ดังนั้นตามกฎหมาย หากเข้าข่ายความผิดสำเร็จแล้ว จะไม่ให้ดำเนินคดีได้เช่นไร? เพราะฉะนั้นถ้าบุตรชายอดีตนายกฯมีความผิดตามกฎหมาย ก็ต้องดำเนินคดีด้วย ใช่หรือไม่? ซึ่งทุกฝ่ายมีสิทธิสู้คดี พิสูจน์ตัวเองในชั้นศาล ที่สุดคงต้องฝากรัฐบาลโดยพล.อ.ประยุทธ์ สร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย เอาตัวผู้กระทำความผิดทุจริตทุกขั้นตอนมาดำเนินคดีให้ได้ ที่พูดนี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะคดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทยเท่านั้น แต่หมายรวมถึงบรรดาคดีทุจริตตามที่เป็นข่าวว่าเกี่ยวข้องหรือเกิดขึ้นในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์นี้ด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อสังคม!!!
ที่สำคัญต้องฝากถึงลิ่วล้อของระบอบทักษิณทั้งหลายว่า การพูดเยอะหรือแย่งกันพูด อาจทำให้ข้อมูลขัดกันเองได้ อีกทางหนึ่งสังคมอาจมองว่า การออกมาพูดเพื่อจงใจนำเรื่องส่วนตัวไปสู่ประเด็นทางการเมืองได้? ดังนั้นทางที่ดีขอให้ต่อสู้กันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ผิดถูกให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมและคำพิพากษาของศาลฯ สุดท้ายถ้าบุตรชายอดีตนายกฯ คิดว่าตัวเองไม่ผิดจริงก็อย่าคิดหนี อยู่ต่อสู้คดีให้ถึงที่สุดเหมือนนักการเมืองดังๆ หลายคน แล้วจะได้รับคำชื่นชมมากกว่าข้อครหาปนความสงสัยว่าผิดจริงใช่หรือไม่? โดยไม่ต้องหนีเหมือนใครบางคน...
“การพนันเฉกเช่นโคลนเลนอันลึกล้ำไร้ขอบเขต
ขอเพียงท่านหลงพลัดลงไปก็ไม่มีวันไถ่ถอนตนเองได้”
(คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี