ในการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ครั้งนี้ นอกจากว่าสินค้าชนิดใดจะต้องเสียภาษีในอัตราใดแล้ว ยังมีประเด็นสำคัญ คือ ราคาฐานที่นำมาใช้คำนวณภาษีนั้นเปลี่ยนแปลงไป
พยายามปิดช่อง และดัดหลังพวกสำแดงราคาเท็จ เพื่อหลบเลี่ยงภาษี
1. ที่ผ่านมา มีปัญหาว่า ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยใช้ฐานราคาในการคำนวณภาษีแตกต่างกันมาก
กรณีสินค้านำเข้า มีการใช้ราคา CIF บวกภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมอื่นๆเป็นฐานในการคำนวณภาษี
กรณีผู้ผลิตในประเทศ ใช้ราคาขายส่งช่วงสุดท้าย (ต้นทุนการผลิตบวกกำไร) เป็นฐานคำนวณภาษี
ยกตัวอย่าง
สุรานำเข้า สมมุติเสียภาษี 50% ก็คิดจากฐานราคา CIF บวกภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมอื่นๆ
สุราในประเทศ ก็คิดภาษีจากฐานราคาขายส่งช่วงสุดท้าย
วิธีแบบนี้ มีช่องทางโกง ลดต้นทุนภาษี โดยสำแดงราคา CIF ต่ำมาก เพื่อจะได้เสียภาษีน้อยๆ
ทั้งกรณีสุรานำเข้า และบุหรี่นำเข้า
บุหรี่นำเข้าบางราย สำแดงราคา CIF ซองละไม่ถึง 2 บาท
2. ตามกฎหมายใหม่ คือ พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงที่ออกตามมา
เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2560 เป็นต้นมา
มีการใช้ “ราคาขายปลีกแนะนำ” มาเป็นฐานในการคำนวณภาษีราคาเดียว
แทนที่ราคาหน้าโรงงาน ราคาขายส่งช่วงสุดท้าย และ ราคา CIF ที่รวมภาษีนำเข้า
น่าจะเป็นธรรมมากขึ้น ระหว่างผู้ผลิตในประเทศกับผู้นำเข้า
3. กรมสรรพสามิต คาดว่า จะมีรายได้จากการปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้ ประมาณ 13,066 ล้านบาท
สำนักข่าวไทยพับลิก้า อ้างแหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่าผู้ประกอบการที่คาดว่าจะมีภาระภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
3.1 กลุ่มสุรา คาดว่า ผู้ประกอบการมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น 5,168 ล้านบาท
ประกอบด้วย เบียร์ประมาณ 3,006 ล้านบาท เหล้า 2,162 ล้านบาท
ทั้งนี้ เนื่องจากกรมสรรพสามิตปรับสูตรในการคำนวณภาษีใหม่ โดยใช้ “ราคาขายปลีกแนะนำ” เป็นฐานในการคำนวณภาษีแทน “ราคาขายส่งช่วงสุดท้าย” รวมทั้งปรับสูตรในการคำนวณภาษีให้ทำงานทั้งขามูลค่าและปริมาณโดยเฉพาะขาปริมาณแอลกอฮอล์มีน้ำหนักมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายใหญ่ 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มไทยเบฟเวอเรจ ผู้ผลิตและจำหน่าย เหล้าขาว เหล้าสี เชียงชุน แม่โขง หงส์ทอง เบียร์ช้าง คาดว่าจะมีภาระภาษีเพิ่มขึ้นเกือบ 4,000 ล้านบาท
ค่ายบุญรอดบริวเวอรี่ ผู้ผลิตและจำหน่ายเบียร์ลีโอ-สิงห์ คาดว่าจะมีภาระภาษีเพิ่มขึ้นราว 500 ล้านบาท
ส่วนกลุ่มเหล้า-เบียร์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ คาดว่าจะได้รับผลกระทบประมาณ 700 ล้านบาท
“สาเหตุที่กลุ่มไทยเบฟ ได้รับผลกระทบจากการปรับภาษีครั้งนี้มากที่สุด เนื่องจากกลุ่มไทยเบฟ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเหล้าและเบียร์รายใหญ่ ครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นเหล้าและเบียร์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูง ขณะที่กลุ่มบุญรอดผลิตและจำหน่ายเบียร์เพียงอย่างเดียว ทั้งเบียร์สิงห์และเบียร์ลีโอมีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 5 ดีกรี การปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้มีการปรับเพิ่มอัตราภาษีตามปริมาณแอลกอฮอล์ จึงทำให้กลุ่มไทยเบฟ ได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มบุญรอด คาดว่าทางกลุ่มไทยเบฟ คงต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ โดยการผลิตเบียร์ดีกรีต่ำออกมาขาย ส่วนสุรานำเข้าได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากกรมศุลกากรเข้มงวดในเรื่องของการสำแดงราคา CIF ของผู้นำเข้า การปรับเปลี่ยนราคา CIF บวกภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมมาใช้ราคาขายปลีกแนะนำมีส่วนต่างเพิ่มขึ้นไม่มาก จึงไม่ส่งผลกระทบผู้นำเข้ามากนัก”
3.2 กลุ่มบุหรี่ คาดว่ามีภาระภาษีเพิ่มขึ้นประมาณ 2,186 ล้านบาท
นำราคาขายปลีกแนะนำมาใช้แทนราคาขายส่งช่วงสุดท้าย และปรับเพิ่มอัตราภาษีทั้ง 2 ขา
ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ โรงงานยาสูบ มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 80% คาดว่าจะได้รับผลกระทบประมาณ 1,900 ล้านบาท
ส่วนตลาดบุหรี่นำเข้า ได้รับผลกระทบไม่มาก ประมาณ 200-300 ล้านบาท เนื่องจากการปรับเปลี่ยนฐานราคาในการคำนวณภาษีจากราคา CIF บวกภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมอื่นๆ มาเป็นราคาขายปลีกแนะนำเพิ่มขึ้นไม่มาก เมื่อคำนวณกับอัตราภาษีทั้งเชิงปริมาณและมูลค่ารวมกันแล้ว จึงได้รับผลกระทบน้อยกว่าโรงงานยาสูบ
3.3 กลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ชา กาแฟ
คาดว่า จะมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น 2,512 ล้านบาท
3.4 กลุ่มรถยนต์ คาดว่า จะมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น 2,287 ล้านบาท
กลุ่มน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน คาดว่าจะมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น 419 ล้านบาท เป็นต้น
4. เมื่อเกิดภาระภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้น วิธีการปรับตัวของผู้ประกอบการก็จะแตกต่างกันออกไป
บางราย อาจขึ้นราคา เพื่อผลักดันภาระภาษีไปให้ผู้บริโภคทั้งหมด หรือบางส่วน
บางราย อาจลังเล เพราะถ้าขึ้นราคาแล้ว อาจเสียลูกค้าให้คู่แข่งไป
ปัจจุบัน จึงยังไม่ชัดเจนว่า รายไหนจะขึ้นราคาหรือไม่ แค่ไหน เพราะกำลังดูเชิงกันอยู่
แต่ที่แน่ๆ คาดได้ว่า จะต้องค่อยๆ ทยอยปรับขึ้นกันแน่นอน (ตามสภาพตลาดของสินค้าแต่ละชนิด)
และภาระภาษีที่เกิดขึ้นจากการปรับครั้งนี้ เมื่อคิดเฉลี่ยต่อหน่วยสินค้าแล้ว ไม่ได้มหาศาลเหมือนที่มีการโพนทะนาจนตื่นตระหนกกันก่อนหน้านี้ ดังนั้น ใครฉวยโอกาสโขกสับ คงไม่เนียน และเสี่ยงมาก
5. รัฐบาล คสช. ควรใช้โอกาสนี้ ส่งเสริมสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตระดับชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะสุรากลั่นพื้นบ้าน
ปัจจุบัน สามารถขออนุญาตทำสุรากลั่นได้แล้ว ไม่ได้ผูกขาดแล้วในทางกฎหมาย โดยต้องขอในนามบริษัท
แต่ระดับชุมชนชาวบ้าน ถ้ารัฐเข้าไปหนุนเสริมมากขึ้น ไม่ใช่หนุนคนบริโภค แต่หนุนผู้ประกอบการระดับท้องถิ่น ลดอุปสรรคการขอใบอนุญาต เงื่อนไขในการเข้าสู่ตลาด (ส่วนการเสียภาษีก็เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อความเป็นธรรม) โดยมองว่านี่คือภูมิปัญญาท้องถิ่น ในอนาคตอาจสามารถส่งออกไปขายต่างประเทศได้ด้วยซ้ำ ย่อมจะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น เกิดผลบวกทางการเมือง และถูกใจคอพื้นบ้านตามภูมิภาคต่างๆ เป็นแน่
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี