“ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ที่ประชาชนคุ้นเคยคือ “ตำรวจ” มีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข ขณะเดียวกันตำรวจก็เป็นหน่วยงานที่น่าเห็นใจมากที่สุด มีภารกิจที่ต้องคอยสอดส่องตามตรอกซอกซอย เครื่องมือในการปฏิบัติหน้าที่ต้องหาเอง หลายครั้งที่อดีตผู้นำตำรวจทำการจัดซื้ออุปกรณ์ราคาแพงให้ตำรวจใช้ปฏิบัติหน้าที่ แต่นำมาใช้การไม่ได้ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีคุณภาพ เมื่อมีการตรวจสอบ เรื่องก็เงียบหายไปอุปกรณ์เหล่านั้นก็ทิ้งเป็นซากให้เห็นตำตากัน ทุกวันนี้นายตำรวจที่ทำการจัดซื้อจัดจ้างยังลอยนวล....สิ่งสำคัญที่จำเป็นในชีวิต คือที่หลับนอนของพวกเขา ตำรวจชั้นประทวนจนถึงรองสารวัตร ต้องเจียดเงินเดือนไปเช่าแฟลตหรือห้องเล็กๆ ราคาถูกไว้ซุกหัวนอน เงินเดือนน้อย บ้านต้องเช่าข้าวต้องซื้อ ลูกต้องเรียนหนังสือ ยังต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟเองอีกด้วย ตำรวจบางคนเมื่อออกเวร จะไปหางานพิเศษทำเพื่อเลี้ยงครอบครัว ตำรวจจึงเป็นหน่วยงานที่น่าเห็นใจ สถานีตำรวจซึ่งเป็นที่บริการประชาชน หลายแห่งต้องเช่าที่เช่าตึกมาสร้าง วันดีคืนดีมีนายตำรวจระดับผู้บริหารบ้าจี้ลงมาตรวจสอบสถานีตำรวจ เห็นความไม่พร้อม ก็ควรช่วยเหลือดูแล กลับมีคำสั่งให้ย้ายด่วน ผู้บริหารบางรายหนักกว่านั้น หาเรื่องจุกจิก แม่บ้านตำรวจสร้างเพิงขายข้าวแกงขายกาแฟ ถูกสั่งให้รื้อทันที ข้อหาทำให้เสียภาพพจน์ ซ้ำจะลงโทษตำรวจที่เป็นสามีเสียอีก....ในทางกลับกันระดับนายตำรวจที่ไม่เคยมีทรัพย์สินมาก่อน เมื่อมาเป็นตำรวจไม่นานมีทรัพย์สินมหาศาล ใส่นาฬิกาเรือนเป็นล้าน ผู้บริหารต้องเมินหน้าเพราะนายตำรวจเหล่านั้นวิ่งเข้าออกบ้านนักการเมืองและบ้านผู้บริหารประเทศทำการเสกเป่าตำแหน่งที่นายตำรวจต้องการด้วยราคาแพง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองด้วย “เสือจะไม่กินเนื้อเสือด้วยกันเอง” แต่นายตำรวจกลุ่มนี้ไม่สนใจ ถลกหนังพวกเดียวกันเสียเอง จะเห็นได้ว่าการแต่งตั้งครั้งที่ผ่านมาตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมาถูกย้ายออกจากหน่วยงานที่สามารถให้คุณให้โทษตำรวจได้และนำคนของตนเองมาแต่งตั้งแทนทั้งหมดเพื่อสะดวกในการสรรหาตำแหน่งมาแปลงเป็นผลประโยชน์ให้กับใบสั่งที่มีมาและเพื่อแบ่งปันกันเอง นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ตำรวจไม่ค่อยสามัคคีกัน แบ่งพรรคแบ่งพวก ตำรวจส่วนใหญ่ต้องเข้าไปสวามิภักดิ์เพื่อให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัยและได้เลื่อนยศ นี่คือชีวิตตำรวจซึ่งได้รับเกียรติเป็นต้นธารกระบวนการยุติธรรมแต่ตัวเองกลับไม่ได้รับความยุติธรรมเลย พวกเขาต้องท่อง “อดทนต่อความเจ็บใจ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก” แต่ถ้าตบะแตกวันไหน บางคนก็คิดฆ่าตัวตายบางคนคว้าปืนยิงผู้บังคับบัญชาและยิงตัวเองตาย มีให้เห็นกันมาแล้ว ผู้บริหารไม่ควรสร้างความกดดันให้ผู้ใต้บังคับบัญชาพวกเขาพกปืนทุกคน ถ้ากดดันกันมากอาจจะมีประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้..... สวัสดีครับ
เกลือสมุทร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี