ช่วงนี้คุณกรณ์ จาติกวณิช ทำงานด้านนโยบายหนักหน่วง สัปดาห์ที่ผ่านมาเดินทางไปๆ มาๆ หลายจังหวัดด้วยพาหนะทุกชนิด การทำงานด้านนโยบาย ผมมีส่วนเกี่ยวข้องในการช่วยหาข้อมูลต่างๆ ซึ่งน่าสนใจเยอะเลย และที่กำลังเอามาเผยแพร่ให้คุณผู้อ่านได้ทราบทั่วกันก็พอจะมีอยู่บ้างในบทความวันนี้ครับ
ประเทศไทยของเราขออนุญาตผ่าให้เห็นในเชิงตัวเลขของจำนวนประชากรตามการทำมาหาเลี้ยงชีพ เอาหยาบๆ เลยคือ จำนวนประชากร 65 ล้านคนนี้ มีคนวัยสูงอายุอยู่เกือบ 15 ล้านคน (อายุ 60 ปีขึ้นไป) เด็ก 10 กว่าล้านคน (อายุ 0-15 ปี) และสำคัญยิ่งในระบบเศรษฐกิจคือ มีคนวัยทำงานอยู่ประมาณเกือบ 40 ล้านคน
เราจะมาโฟกัสกันที่วัยทำงานครับ
แรงงานนอกระบบ 25 ล้านกว่าคน แรงงานในระบบ 12 ล้านกว่าคน ข้าราชการ 2 ล้านกว่าคน
คุณเห็นอะไรในตัวเลขนี้...
เราจะขอเริ่มจากน้อยไปหามากก็แล้วกันนะครับ ข้าราชการไทย 2 ล้านคน จำนวนนี้เป็นจำนวนคร่าวๆ เพื่อการอธิบายที่เข้าใจง่ายๆ ครับ ข้าราชการทุกคนในจำนวนนี้ ทำงานภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล ทุกยุคทุกสมัยนักการเมือง หรือแม้แต่ทหารขึ้นมาบริหารหมุนเวียนเปลี่ยนไปเพียงใด หน้าเก่าหน้าใหม่ตอนไหนอย่างไร แต่คนที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือ “ข้าราชการ” ซึ่งประชาชนต้องไม่ลืมข้อสำคัญข้อนี้
หน้าที่หลักของข้าราชการก็ตามนิยามของชื่อครับ คือ ผู้ที่ปฏิบัติงานของพระราชา พระราชาทำงานเพื่อให้ประชาชนเป็นสุข ข้าราชการก็ย่อมมีหน้าที่ทำงานให้แก่ประชาชน ไม่ว่าจะอำนวยความสะดวกในทุกรูปแบบตามแต่ลักษณะการให้บริการแก่ประชาชนในกระทรวง กรม กอง ต่างๆ ข้าราชการไทย ทำงานตามข้อกฎหมาย ตรงนี้ขอย้ำว่า ทำงานตาม “ข้อกฎหมาย” ดังนั้นงานจะออกมาดีหรือแย่ ห่วยหรือเจ๋ง ก็ขึ้นกับข้อกฎหมายที่ทำให้ “ระบบราชการ” มันเป็นไป
กระเถิบมาอีกกลุ่มครับ แรงงาน “ในระบบ” สำหรับคำว่า ในระบบข้อนี้หมายถึง ในระบบการจ้างงานที่ถูกต้องตามกฎหมายนะครับ นั่นก็คือการที่นายจ้างของคุณๆ เป็นบริษัท หรืออาจจะไม่เป็นรูปแบบบริษัทแต่มีการจดทะเบียนถูกต้อง มีการจ่ายภาษี มีการทำประกันสังคมให้กับคุณ หรือในอีกแง่หนึ่งคำว่า “ในระบบ” อาจมองได้ว่า การเป็นแรงงานที่อยู่ในระบบที่มีการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ให้อย่างเหมาะสมนั่นได้แก่ การมีสิทธิเข้าถึงกองทุนประกันสังคม เจ็บป่วย มีระบบการออมไว้ใช้ยามเกษียณ ฯลฯ
คนกลุ่มนี้ทำงานอยู่ที่ไหนกัน คำตอบคือ ทำงานในบริษัท ในโรงงาน ในร้านค้า ในร้านอาหาร ในโรงแรม ในทุกๆ ที่ที่ดูเป็นหลักแหล่ง ลักษณะรายได้ก็จะมีอัตราการจ้างงานที่เป็นระบบส่วนใหญ่มีรายได้ระดับปานกลาง เพราะพวกเขาอยู่ในระบบที่มีการดูแลเรื่องนี้ให้เป็นธรรม เช่น มีการกำหนดอัตราขั้นต่ำตามเกณฑ์ความสามารถหรือการศึกษา
แต่เมื่อมาเจาะดูว่าคนกลุ่มใหญ่ของแรงงานในระบบอยู่ที่ไหนคำตอบคือ ในนิคมอุตสาหกรรมตามภาคตะวันออกหรือ Eastern Seaboard นั่นเองครับ ประเทศไทยของเรามีการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมภาคตะวันออกมานานกว่า 30 ปี ตั้งแต่สมัยโชติช่วงชัชวาลในยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ได้สร้างคุณูปการนี้ขึ้นมา และทำให้ประเทศไทยของเราได้กินบุญเก่าที่ท่านได้สร้างมายาวนานเกือบจะ 40 ปี พื้นที่ตรงนี้สร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศจากการถูกกำหนดให้เป็นยุทธศาสตร์ภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีคนในประเทศจำนวน 10 กว่าล้านคน ที่ได้ประโยชน์โดยตรง และแรงงานนอกระบบของคนกลุ่มนี้หรือ พ่อแม่พวกเขาที่เป็นเกษตรกรอีก 20 กว่าล้านคนที่ได้ประโยชน์โดยอ้อม (กรณีนี้พูดถึงอัตราการส่งเงินกลับภูมิลำเนาของแรงงานภาคตะวันออก)
พอมาถึงยุคนี้อย่างที่บอกไปครับว่าภาคอุตสาหกรรมไทยกินบุญเก่าที่สร้างขึ้นในยุคป๋าเปรมมายาวนานแล้วและนั่นก็ย่อมมีวันหมดและบุญเก่าที่ว่าก็ใกล้จะหมดจริงๆ เพราะสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาในอดีตรวมถึงกลุ่มธุรกิจที่เข้ามาสร้างโรงงานในพื้นที่นั้น ในตอนนี้อุตสาหกรรมต่างๆที่เคยรุ่งโรจน์ในสมัยนั้น ณ ตอนนี้หลายต่อหลายอย่างเขาไม่ใช้และจะทยอยไม่ใช้กันแล้ว
เอาง่ายๆ ก็อย่างเช่น รถยนต์เกียร์กระปุก ไม่มีการผลิต อีกหน่อยรถยนต์พลังงานน้ำมันก็จะไม่ผลิต พวก Spare parts อะไหล่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งยวงก็จะเปลี่ยนไป ยุทธศาสตร์ชาติด้านอุตสาหกรรมจึงต้องเปลี่ยนตาม และรัฐบาลนี้ต่อประเด็น EEC หรือ Eastern Economic Corridor ก็ทำได้ดี และหมายมั่นปั้นมือถูกเรื่อง ถูกเวลา โดยกำหนดให้ต้องมีการลงทุนและสร้างสิ่งซึ่งอำนวยความสะดวกต่อการลงทุนสร้างนิคมแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะตามมาตามกระแสโลกของเรา
ทั้งหมดเหล่านี้คุณกรณ์ และทีมนโยบายขอเรียกชื่อเล่นสั้นๆ ให้ว่า นี่คือประเด็นเรื่องของ Hi-tech ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะมีเรื่องของเทคโนโลยี นวัตกรรมและการพัฒนาศักยภาพของแรงงานเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งผมจะขออนุญาตเล่าในคราวต่อๆ ไปอีกครั้งนะครับ
เรามาดูต่อในส่วนของกลุ่มวัยทำงานที่ใหญ่ที่สุดนั่นคือ “แรงงานนอกระบบ” กว่า 25 ล้านคน
กลุ่มนี้มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เหวี่ยงที่สุด นั่นคือถ้าลำบากก็ลำบากที่สุดในประเทศ ถ้าไม่ลำบากก็อยู่นอกกลไกทุกอย่างแบบสบายๆที่สุดในประเทศ ไม่อยากจะยกตัวอย่างนักโทษหนีคดีอะไรแบบนี้เท่าไหร่ ซึ่งจริงๆ อาจหมายถึงเจ้าของกิจการที่ไม่ได้เข้าระบบ เช่น เจ้าของร้านเย็นตาโฟชื่อดัง ขายได้วันละ 500 ชาม ชามละ 50 บาท มีรายได้วันละ 25,000 บาท คิดเป็นเดือนละ 750,000 บาท ตัดต้นทุนค่าแรงต่างด้าวและทุนการผลิตไป 60% ก็ยังกำไรอีก 450,000 บาท “ต่อเดือน” เป็นต้น...
แต่กลุ่มที่เราโฟกัสเข้ามาในข่ายของงาน “นโยบาย” ที่ต้องดูแลก็คือ กลุ่มแรงงานนอกระบบที่รายได้น้อยนี่แหละครับ อาจหมายถึงผู้ค้า ผู้ขาย แม่ค้าพ่อค้าในหัวเมือง คนรับจ้างอิสระ แท็กซี่ วินมอ’ไซค์ รับเหมาอิสระ ฯลฯ แต่กลุ่มที่ใหญ่และประสบปัญหาด้านความเป็นอยู่หนักที่สุดคือ “เกษตรกร” ปัญหาที่ต้องจัดการอย่างจริงจังคือ “ปัจจัยการผลิต” ของคนกลุ่มนี้ เราพยายามมองภาพให้ครบ คนกลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการเพียงแค่เงินเยียวยาเงินอุดหนุน เงินอัดฉีดเป็นรอบๆ ไป เขาไม่ได้อยากจะแบมือขอรัฐบาลอยู่ตลอดแต่นักการเมืองบางกลุ่มที่ไปสปอยล์เขาให้ติดอยู่กับพฤติกรรมแบบนี้ สิ่งที่ทีมนโยบายเล็งเห็นปัญหาที่แท้จริงคือ ปัจจัยการผลิต นั่นหมายถึงที่ดิน, น้ำ, แรงงาน และเงินลงทุนในการผลิตผลผลิตทางการเกษตร
ที่สำคัญที่สุด ช่องทางในการขายและรวมถึงสิ่งที่ผลิตออกมานั้นควรจะถูกพาไป “ขาย ณ จุดใด” ถ้าจะขออธิบายให้ง่ายก็เช่น ชาวนายังควรจะขายข้าวเปลือกหรือไม่ ความเข้มแข็งของชุมชนจะมีได้ ถ้าไม่ได้แค่ผลิตในระดับต้นสุดๆ แล้วขายราคาต่ำ การรวมกลุ่มกันสีข้าว การรวมกลุ่มกันทำแพ็กเกจ และที่สำคัญเทคโนโลยีการเกษตรของกลุ่มที่เรียกว่า Agro Tech กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญมากที่สุดแก่คนกลุ่มนี้ในประเทศไทย
แล้วเราต้องทำอะไร เราเพียงแต่ต้องรักษาจุดแข็งของประเทศเราเองเอาไว้ให้มั่นคง นั่นคือความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร ทรัพย์ในดินสินในน้ำ ให้คงคุณค่าให้มากที่สุดเอาไว้ ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึง พันธุ์ท้องถิ่นพื้นเมือง เช่น หอมมะลิ ต้องปลูกที่พื้นที่ทุ่งกุลาฯ สาเหตุเพราะความเป็นดินเค็มในทุ่งกุลาฯคือหัวใจที่ทำให้ข้าวมีกลิ่นหอม เป็นต้น
เราจะต้องชูความเป็นเกษตรพรีเมียม และที่ทำให้พรีเมียมได้ง่ายที่สุดก็คือ “การไม่ใส่สารเคมี” ลงไปเพื่อทำลายคุณค่าของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของเราเอง รวมไปถึงแพ็กเกจที่มีความยึดโยงกับการเล่าเรื่องราวที่สำคัญของพื้นถิ่น หลับตานึกถึง “ข้าวอิ่ม” ก็จะพอเข้าใจได้ครับ
สุดท้ายผมขอชวนมาดูกันถึงเรื่อง Mega Trend ของโลกใบนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอีกไม่ถึง 30 ปีก็คือ1.Urbanisation การเป็นสังคมเมือง การเป็นสังคมคนชั้นกลางที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมเอเชียชั้นกลาง จุดนี้ไทยได้ประโยชน์สุดๆ ความเป็นคนชั้นกลางคือ เลือกบริโภคของดีๆ และคนเอเชียกิน “ข้าว” มองเห็นเหมือนที่ผมเห็นใช่ไหมครับว่า ไทยจะสามารถสร้างข้อได้เปรียบจากจุดนี้ได้อย่างไร และ
2.Ageing Society สังคมสูงอายุที่นับวันจะทวีความสำคัญมากขึ้น กลุ่มคนสูงอายุก็คือวัยทำงานที่เยอะมากมายในตอนนี้ กำลังจะแก่ (ขออภัยที่ใช้คำตรงๆ ที่เข้าใจง่าย) เมื่อแก่ขึ้นก็จะบริโภคสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้น ต้องการการดูแลและ “บริการ” ที่ดีมากขึ้น พูดแค่นี้ก็เห็นเหมือนที่ผมเห็นแล้วใช่มั้ยครับ
สองข้อนี้นำมาซึ่งความได้เปรียบของประเทศไทยที่คุณกรณ์เรียกมันว่า Hi-Touch ซึ่งก็ต้องทำให้เด่นชัดสอดคล้องคู่ไปกับ Hi-Tech
ดังนั้นจากที่พูดมา ไล่มาจากข้อเสียของระบบเกษตรปัจจุบัน จนชี้ให้เห็นถึงโอกาสของภาคเกษตรในอนาคต แล้วโยงไป Mega Trend นี่คือยุทธศาสตร์สำคัญที่คุณกรณ์ และทีมนโยบายเล็งเห็นและพร้อมจะทำให้เกิดขึ้นจริง เรากำลังอยู่ในช่วงการเรียนรู้ ศึกษาหาข้อมูล ขึ้นเหนือลงใต้ เก็บเกี่ยวความรู้จากปราชญ์ในสถาบันศึกษา ปราชญ์ชาวบ้าน ไว้ให้มากที่สุด และเมื่อเวลาที่ต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้ เราก็จะกลั่นกรองออกมาเป็นนโยบายให้ประชาชนได้พิจารณากันต่อไปครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี