พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คนที่ 29ของไทย เข้ามารับผิดชอบบริหารประเทศตั้งแต่วันรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ขณะนี้ระยะเวลาผ่านมาถึงปีที่ 4 แล้วคงต้องมา “อัพเดท” ฐานะทางด้านเศรษฐกิจของไทยยุครัฐบาล “ลุงตู่” กันอีกสักครั้งหนึ่งให้คนไทยได้เข้าใจข้อเท็จจริง
ล่าสุดมีรายงานผลการจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2017 โดยสื่ออเมริกันคือยูเอสนิวส์แอนด์เวิลด์รีพอร์ท ของสหรัฐอเมริกา ได้ยกย่องให้ไทยคว้าอันดับ 1 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2016 และได้คะแนนรวมอยู่อันดับ 26 สำหรับประเทศที่ดีที่สุดในโลก
นอกจากนี้ไทยยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศชั้นนำของโลกในอีกหลายด้านเช่นเป็นอันดับ 4 ประเทศที่การท่องเที่ยวโดดเด่นมากที่สุดในโลก ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยในปีนี้ถึง 36 ล้านคนอันดับ 8 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยวคนเดียวมากที่สุดในโลกอันดับ 6 ประเทศที่มีการเติบโตโดยภาพรวมมากที่สุดในโลก และอันดับ 7 ประเทศที่มีวัฒนธรรมโดดเด่นมากที่สุดในโลก
อันดับ 13 ประเทศที่เปิดโอกาสทางธุรกิจมากที่สุดในโลก อันดับ 16 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเกษียณงานมากที่สุดในโลกอันดับ 21 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นทำงาน อันดับ 26 ประเทศที่ดีที่สุดในโลก และอันดับ 29 ประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกจาก 208 ประเทศที่มีอยู่ตามสถิติที่มีอยู่ของสหประชาชาติ
อีกข่าวดีก็คือถึงแม้จะมีเสียงจากนักธุรกิจบอกว่าค่าเงินบาทแข็งไปทำให้การส่งออกไม่ดีเอาเข้าจริงปรากฏว่าไทยส่งสินค้าออกในระยะ 8 เดือนแรก ของปี 2560 ได้รวม 153,623 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเป็นเงินบาทเท่ากับ 5.069 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 สูงสุดในระยะ 6 ปีที่ผ่านมาดีกว่าสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่บริหารประเทศเสียอีกและยังเกินดุลการค้าทั้งปี 8,873 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะฉะนั้นใครว่ารัฐบาล “ลุงตู่” ทำงานไม่เก่งคงต้องถอนคำพูดกันได้แล้ว
ตลาดส่งออกสำคัญยังขยายตัวต่อเนื่องตลาดหลักขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 7.5 โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ตลาดที่มีศักยภาพสูงขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 16.4 โดยเฉพาะตลาดจีน กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม เอเชียใต้ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ก็ขยายตัว ส่วนตลาดศักยภาพรองที่ยังหดตัวอยู่ร้อยละ 1 ได้แก่ ออสเตรเลีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา
ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือเรื่องของค่าเงินบาทแต่ก็ไม่เป็นปัจจัยที่น่ากังวลมากคาดว่าไม่น่าจะกระทบต่อการส่งออกหรือความสามารถในการแข่งขันเนื่องจากเป็นการแข็งค่าทั้งภูมิภาค แต่อย่างไรก็ดีมองว่าค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ 33-34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อาจจะมีผลกระทบต่อภาพการส่งออกในปีหน้าคือปี 2561 มากกว่า
สิ่งที่น่าห่วงที่รัฐบาลต้องแก้ไขคือกำลังซื้อของประชาชนระดับรากหญ้าและคนยากจน 11 ล้านคน ซึ่งเป็นร้อยละ 17 ของประชากรทั้งหมดรวมทั้งประชาชนร้อยละ 60 ประมาณ 40 ล้านคน มีหนี้สินต่อครัวเรือนสูงทำให้การค้าในประเทศขยายตัวน้อยไปทำให้คนบ่นว่าค้าขายไม่ค่อยดีซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องเติมเงินเพิ่มรายได้ให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้นมานั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี