ในขณะที่ข่าวคราวการปราบปรามการทุจริตโกงบ้านกินเมือง กำลังเดินหน้าไป และเป็นข่าวฮือฮากันทั้งประเทศ ก็มีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งฮือฮาตามมาไม่แพ้กัน นั่นคือข่าวคราวการสร้างทางรถไฟไทย-จีน เฟสแรก ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร โดยจะให้กรมทางหลวงเป็นผู้ก่อสร้าง
เรื่องนี้ฮือฮาขึ้นมาก็เพราะมีนัยสำคัญที่กระทบอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน กระทบต่อเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของชาติและความเหลวแหลกในการทำโครงการนี้ จนคล้ายประหนึ่งทำเป็นลิงหลอกเจ้า
คือหลอกทั้งรัฐบาล หลอกทั้งประชาชนชาวไทยและหลอกทั้งรัฐบาลจีน แต่คนทั่วโลกคงไม่หลงการหลอกลวงนี้ เพราะคนทั้งหลายย่อมมีความฉลาดมากกว่าที่คาดคิดไว้มาก ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นที่เย้ยหยันกันทั่วทั้งโลก และจำเป็นจะต้องกล่าวอย่างจริงจังว่า เลิกเล่นลิเกได้แล้ว ซึ่งความจริงควรจะกล่าวว่าเลิกเล่นละครลิงหลอกเจ้าได้แล้ว
ทำไมต้องกล่าวอย่างนั้นเล่า? ก็ต้องดูลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่า หลอกลวงกันมากี่ครั้งกี่หน ซึ่งต้องบอกให้ทราบทั่วกันว่า การเล่นละครลิงเรื่องนี้เป็นการทำลายผลประโยชน์แห่งชาติเพื่อประโยชน์ของกลุ่มผลประโยชน์รถยนต์ที่ไม่ต้องการให้รถไฟเงยหน้าอ้าปาก เพื่อจะได้ผลิตรถยนต์วิ่งกันให้เต็มบ้านเต็มเมืองต่อไปชั่วกัลปาวสาน
จะขอลำดับเรื่องราวตั้งแต่ต้นให้ได้ทราบทั่วกันอีกครั้งหนึ่งดังนี้
ประการแรก วันที่ 29 ตุลาคม 2557 รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รับบัญชาจากนายกรัฐมนตรีไปเจรจากับผู้นำจีน ที่เรือนรับรองเตี้ยวหยูไถ่ ปักกิ่ง แสดงความจำนงให้จีนก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระบบรางมาตรฐานสามเส้นทาง คือกรุงเทพฯ-โคราช, โคราช-หนองคาย และแก่งคอย-มาบตาพุด โดยขอให้จีนช่วยซื้อข้าวเน่าในโครงการรับจำนำข้าว 1 ล้านตัน ซื้อข้าวใหม่ 1 ล้านตัน และซื้อยางพาราอีก 2 แสนตัน โดยการร่วมกันตัดสินใจของรองนายกฯและนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อ เฉียง ตามคำบอกกล่าวของนายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ตามที่ฝ่ายไทยต้องการ
ประการที่สอง วันที่ 19 มกราคม 2558 หลังจากรัฐบาลนำเสนอข้อตกลงให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติเห็นชอบแล้ว และฝ่ายจีนก็นำเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบข้อตกลงแล้ว รัฐบาลทั้งสองได้ลงนามในข้อตกลงตามที่ตกลงกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรที่ประเทศไทย ต่อหน้านายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศ ในช่วงเวลาที่มีการประชุมกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงที่ประเทศไทย
ประการที่สาม รัฐบาลทั้งสองประเทศได้ตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการตามข้อตกลงให้สำเร็จ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้า คสช.และรมว.คมนาคมเป็นประธานฝ่ายไทย คณะทำงานทั้งสองฝ่ายตกลงกันเสร็จสิ้นที่จะดำเนินการตามข้อตกลงลงวันที่ 19 มกราคม 2558 โดยการก่อสร้างช่วงกรุงเทพฯ-โคราช และแก่งคอย-มาบตาพุด จะแล้วเสร็จสิ้นปี 2560 และจากโคราช-หนองคาย จะแล้วเสร็จเดือนธันวาคม 2561 จากนั้นก็ได้มีการประกาศแผนงานต่อสาธารณะเป็นที่ชื่นชมยินดีถ้วนหน้ากัน
ประการที่สี่ หลังประกาศแผนดำเนินการไม่กี่วันก็มีการปรับคณะรัฐมนตรี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง พ้นตำแหน่ง จากนั้นก็มีการเจรจาของคณะทำงานกว่า 2 ปี มีการเปลี่ยนข้อตกลงทั้งหมด ในขณะที่นายกรัฐมนตรีพยายามเร่งรัดการก่อสร้างตามที่ตกลงกันหลายครั้ง ก็ได้รับคำยืนยันว่าจะลงมือก่อสร้างเมื่อนั้นเมื่อนี้ เป็นเหตุให้นายกฯรับปากรับคำผู้นำจีนหลายครั้ง แต่ในที่สุดก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ
ประการที่ห้า ฝ่ายไทยขอเปลี่ยนแปลงข้อตกลงหลายครั้ง จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ซึ่งระดับความเร็วก็เปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ล่าสุดก็เปลี่ยนเป็นความเร็วที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่การก่อสร้างจะทำเพียงเส้นทางกรุงเทพฯ-โคราช ระยะทาง 218กิโลเมตร ด้วยงบประมาณ 179,000 ล้านบาท และมีการแถลงกำหนดการก่อสร้างหลายครั้งในปี 2559 แต่ก็เลื่อนทุกครั้ง จนบัดนี้
ทำกันถึงขนาดกำหนดการวางศิลาฤกษ์โครงการรถไฟไทย-จีน และเชิญผู้นำจีนมาร่วมทำพิธีวางศิลาฤกษ์กันที่ปทุมธานีก็ทำกันมาแล้ว ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นอย่างไรก็รู้แก่ใจกันอยู่
ประการที่หก ครั้นสังคมตั้งข้อทักท้วง โดยเฉพาะชาวภาคอีสานเรียกร้องต้องการให้เริ่มก่อสร้างในภาคอีสานก่อน ก็บอกกับประชาชนอีกว่าจะทำโครงการเป็นสองเฟส คือกรุงเทพฯ-โคราช และโคราช-หนองคาย แต่ขั้นต้นจะทำกรุงเทพฯ-โคราชก่อน
ประการที่เจ็ด แล้วก็ประกาศอีกว่าโครงการนี้จะว่าจ้างจีนทำเฉพาะการออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ส่วนการก่อสร้างจริงๆ จะต้องประมูลให้บริษัทไทยเป็นผู้ก่อสร้าง หลังจากนั้นก็ประกาศอีกว่าการก่อสร้างช่วงกรุงเทพฯ-โคราช จะแบ่งออกเป็นสี่ช่วง ช่วงแรกจากบ้านกลางดง-บ้างปางสีดา ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร,เฟสที่สอง 11 กิโลเมตร,เฟสที่สาม 100 กว่ากิโลเมตร และเฟสที่สี่อีก 100 กว่ากิโลเมตร ก็มีผู้ทักท้วงว่ากำลังทำสิ่งที่ประเทศไทยจะถูกเยาะหยันทั้งโลก เพราะไม่มีที่ไหนทำรถไฟแค่ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร และไม่มีประเทศไหนเริ่มงานก่อสร้างที่กลางดงกลางป่า
แต่ไม่รู้โกหกพกลมกันอย่างไร ในที่สุดก็มีการแถลงว่าไม่มีใครบ้าทำรถไฟเฟสละ 3.5 กิโลเมตร ประชาชนก็จดจำกันไว้
ประการที่แปด ระหว่าง 4-5 กันยายน 2560 มีการประชุมกลุ่ม BRICS ที่เซียะเหมิน เตรียมการที่จะลงนามในสัญญาเพื่อแสดงว่าประเทศไทยยังยืนยันทำตามข้อตกลง โดยตอนแรกเตรียมว่า จะลงนามสัญญาว่าจ้างด้วยงบประมาณเพียง 650 ล้านบาท ซึ่งกระจอกงอกง่อย จะเป็นที่อับอายขายหน้าที่ไปเซ็นสัญญาแบบนี้กันที่ประชุม BRICS จึงปรับปรุงให้ขยายวงงานเป็นวงเงิน 3,800 ล้านบาท จนทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ถึงกับออกปากว่าจีนเคารพเส้นทางพัฒนาของประเทศไทยตามที่ไทยเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทย
ประการที่เก้า หลังเสร็จการประชุม BRICS ก็มีการประกาศว่าจะเริ่มการก่อสร้างเฟสแรก 3.5 กิโลเมตร จากบ้านกลางดง-บ้านปางสีดา ซึ่งก็คงบ้าตามที่ได้แถลงไว้ก่อนหน้านั้น แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือมีการแถลงว่าจะมอบให้กรมทางหลวงเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งใครๆ ก็รู้ดีว่ากรมทางหลวงนั้นมีหน้าที่ทำถนน ไม่มีบทเรียนและไม่มีหน้าที่ทำทางรถไฟ ก็ไม่รู้ว่าจะให้ฮากันไปถึงไหน
อาการแบบนี้ไม่มีทางคิดเห็นเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากอาการของการเบี้ยว และถ้าหากจะเบี้ยวกันจริงๆ ก็ควรยกเลิกโครงการไปเสียเลย เพราะอาการเบี้ยวแบบนี้เป็นการเสื่อมเสียต่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของชาติ เป็นการทำลายเกียรติภูมิของผู้นำไทยให้กลายเป็นตัวตลกในเวทีนานาชาติ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี