เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาคดีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กรณีปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ปล่อยให้โครงการจำนำข้าวสร้างความเสียหาย เกิดการทุจริตระบายข้าวจีทูจี เกิดความเสียหายรวมหลายแสนล้านบาท
ปรากฏว่า ยิ่งลักษณ์หนีออกนอกประเทศไปก่อนจะถึงวันที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษา
ศาลฎีกาฯ เลื่อนการอ่านคำพิพากษาเป็นวันที่ 27 ก.ย.2560 และออกหมายจับยิ่งลักษณ์
ต่อมา ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ ว่ายิ่งลักษณ์หลบหนีออกไปตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. ก่อนที่ศาลนัดสองวัน แต่ยังมีพฤติการณ์หลอกลวงว่าจะมาฟังคำพิพากษาอยู่ โดยหลบหนีออกไปทางสระแก้ว ผ่านอำเภออรัญประเทศ ออกชายแดนกัมพูชา และขณะนี้ไปอยู่ประเทศไหนยังไม่มีการยืนยัน
สังคมตั้งคำถามว่า ในวันที่ 27 ก.ย.นี้ ยิ่งลักษณ์จะกลับมาฟังและยอมรับคำพิพากษา เหมือนที่ตัวเองเคยพูดไว้ว่าจะไม่หนีไปไหน จะขออยู่ต่อสู้เพราะเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตนเอง เหมือนที่กองเชียร์ถึงกับเคยยกขึ้นมาอวยว่ากล้าหาญกันก่อนหน้านี้ หรือไม่
ผมมองว่า เราคงจะไม่ได้พบหน้ายิ่งลักษณ์บนแผ่นดินไทย จนกว่าเธอจะอายุ 65 ปีไปแล้ว
1. การจะเข้าใจพฤติกรรมของคน เราต้องศึกษาทำความเข้าใจวัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนในตระกูลเดียวกัน ทั้งวิธีคิด วิธีลำดับเหตุผล และวิธีหาผลประโยชน์
พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเรารู้ทันทักษิณ เราย่อมจะรู้ทันยิ่งลักษณ์มากขึ้น
ถ้าดูทักษิณเป็นแบบอย่าง เป็นต้นแบบ หรือเป็นโคลนนิ่ง (ตามคำที่ทักษิณเคยพูด) จะเห็นว่า
1.1 เมื่อครั้งนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ ทักษิณเลือกเดินทางกลับประเทศ ทำทีประกาศพร้อมต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม เข้ามากราบแผ่นดินหน้าสนามบิน เพื่อให้นักข่าวถ่ายรูป เสร็จก็เดินทางไปศาล ทั้งนี้ พอจะเข้าใจได้ว่า เมื่อเห็นว่าตัวแทนเชิดของตนเป็นนายกฯ รัฐบาลอยู่ใต้อาณัติสั่งการของตนเอง จึงเลือกเดินทางเข้ามา แต่ในภายหลัง เมื่อเห็นว่าไม่สามารถที่จะมีอิทธิพลเหนือศาลยุติธรรมได้ ก็หลบหนีออกจากประเทศไปก่อนศาลฎีกาฯ จะอ่านคำพิพากษา โดยหลอกว่าไปดูโอลิมปิกที่เมืองจีน
สะท้อนว่า สายพันธุ์นี้ ถ้าจะได้ประโยชน์ หรือเล็งว่าได้เปรียบ ก็จะกลับ แค่แสดงละครกราบแผ่นดิน รักมาตุภูมิ แต่สุดท้าย เป็นแค่เปลือกนอก ลิ้นพลิกไปมาได้ คำพูดเชื่อไม่ได้ แต่พฤติกรรมที่เอาประโยชน์ของตนเป็นตัวตั้งกลับชัดเจนแน่นอนกว่า
1.2 เมื่อครั้งยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ วันที่ 19 พ.ค. 2555 ทักษิณเคยวีดีโอลิงค์ เข้ามาในที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง ประกาศว่า พี่น้องแจวเรือพาผมข้ามฝั่ง มาส่งผมแล้ว ผมจะเดินทางขึ้นเขาต่อ จะแบกเรือตามผมขึ้นเขามาทำไม ถึงเวลาที่จะนั่งรถขึ้นเขา ไม่ต้องเป็นห่วง
สะท้อนว่า เมื่อสามารถบรรลุเป้าประสงค์ส่วนตัว หรือปลุกระดม ลวงล่อหลอกคนมาใช้เพื่อประโยชน์ของตนแล้ว เมื่อถึงเวลาหมดประโยชน์แล้ว ก็ถีบหัวเรือทิ้ง
นี่แค่สองเหตุการณ์ที่ยกมาเป็นอุทาหรณ์ แบบอย่างพฤติกรรมของพี่ สะท้อนพฤติการณ์ของน้อง
ว่าการจะกลับหรือไม่กลับ ไม่ได้อยู่กับคำพูดคำหวานว่าเคารพศาล ไม่หนีไปไหน
แต่ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่
2. น่าคิดว่า... การที่ยิ่งลักษณ์หนีไปก่อนวันศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษาแค่ 2 วัน เชื่อว่า อาจสืบข้อมูลหรือพยายามสืบข้อมูลจนทำให้เชื่อแน่ว่าคำพิพากษาที่จะออกมานั้นคงไม่เป็นคุณกับตนเอง
หากมั่นใจว่าไม่ต้องรับโทษ คงไม่หนี
การหลบหนีไปแล้ว ก็สะท้อนว่า ผลของคดีที่ฝ่ายยิ่งลักษณ์ประเมิน ไม่ว่าจะสืบจนรู้ว่าจะติดคุกแน่ๆ หรืออาจจะสืบไม่รู้ เพราะข้อมูลศาลไม่รั่ว และเมื่อสืบไม่ได้ ก็เสี่ยงจะติดคุก ก็จึงเลือกหนีไว้ก่อน ถึงขนาดยอมเสียเงินประกันหลายสิบล้านบาท
ด้วยรูปการเช่นนี้ จนถึงปัจจุบัน จึงยังมองไม่เห็นว่า ยิ่งลักษณ์จะกลับมาทำไม?
เว้นแต่หลังจากหนีไปแล้ว จนวันนี้ หากสืบรู้ว่าข้อมูลใหม่ว่าจะชนะคดี หรือศาลฎีกาฯ ยกฟ้อง ก็จึงอาจจะกลับมา แต่โอกาสเป็นไปได้คงไม่มาก
3. นับเป็นข้อสังเกตทางการเมืองว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ยิ่งลักษณ์หลบหนีออกไปทาง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว โดยทางสอบสวนของตำรวจ พบว่า ว่ามีนายตำรวจระดับสูงเป็นผู้ขับรถพาไป มีขบวนการรู้เห็นเป็นใจอยู่จำนวนหนึ่ง สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของผู้ที่เข้าใจวัฒนธรรมการเมืองไทยที่ว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐไม่รู้เห็นเป็นใจ ยิ่งลักษณ์คงจะหนีไม่ได้ แต่หลายคนยังอ่านไปมากกว่านั้น โดยเชื่อว่า การหนีเกิดจาก
ข้อตกลงหรือสัญญาที่จะให้หนี โดยมองว่ามันเป็นวิน-วิน (Win-Win) ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย
ดังนั้น ถ้าข้อวิเคราะห์เป็นความจริง ก็ยิ่งชี้ให้เห็นว่า ยิ่งลักษณ์คงจะกลับมาไม่ได้ในช่วงนี้ เพราะย่อมจะขัดต่อข้อตกลง
4. ประการสำคัญ ที่กลายเป็นตัวแปรชี้ชะตาชีวิตที่เหลืออยู่ของยิ่งลักษณ์ คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฯ
นับจากวันนี้ จนถึงวันที่ 27 ก.ย. ที่ศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษา ยิ่งลักษณ์คงจะพิจารณาประเด็นสำคัญว่า พ.ร.ป.ฯ ดังกล่าว จะประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ทันก่อนวันที่ 27 หรือไม่?
ปัจจุบัน กฎหมายยังเหลือเพียงขั้นตอนสุดท้าย ของการทรงลงพระปรมาภิไธยฯ
4.1 หาก พ.ร.ป.ฯ ประกาศใช้ก่อนการอ่านคำพิพากษา 27 ก.ย. ผลที่ตาม คือ จะไม่นับอายุความในขณะที่ยิ่งลักษณ์หนี เพราะเมื่อกฎหมายประกาศใช้ก่อน และเมื่อถึง 27 ก.ย. คำพิพากษาออกว่าต้องคดีอาญา ไม่ว่าจะโทษจำคุกอย่างไร อายุความจะไม่สิ้นสุดใน 15 ปี
หมายความว่า ยิ่งลักษณ์จะต้องเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศไปตลอดชีวิต
ถ้ากลับมาเมื่อไหร่ ก็จะต้องได้รับโทษทันที
4.2 แต่ถ้ากฎหมายดังกล่าวประกาศใช้หลังวันที่ 27 ก.ย. ยิ่งลักษณ์จะได้ประโยชน์จากอายุความ
ซึ่งจะสิ้นสุดอายุความใน 15 ปี โดยแม้เจ้าตัวจะหนีอยู่ต่างประเทศ อายุความก็จะเดินไปเรื่อยๆ (คล้ายๆ
คดีลูกกระทิงแดง)
ปัจจุบัน ยิ่งลักษณ์อายุ 50 ปี หมายความว่า จะพ้นอาญา สืบเนื่องจากหมดอายุความ เมื่ออายุเจ้าตัวได้ 65 ปี
จากข้อกำหนดของ พ.ร.ป.ดังกล่าว ยิ่งลักษณ์อาจคิดว่า ไม่กลับมาในช่วงนี้จะดีกว่า เพราะเชื่อว่า พ.ร.ป.คงจะประกาศใช้หลังวันที่ 27 ก.ย.แล้ว ทำให้เชื่อต่อไปว่า จะต้องหนีไปอีก 15 ปี เท่านั้น
ปัจฉิมลิขิต
ทั้งหมดนี้ ยังไม่นับคดีอาญาอื่นๆ ของยิ่งลักษณ์ ซึ่งยังอยู่ในกระบวนการอีกมากมายหลายคดี โดยเฉพาะในชั้น ป.ป.ช. อันเกิดจากการกระทำในการใช้อำนาจรัฐ “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ”
กฎแห่งกรรม ศักดิ์สิทธิ์เสมอ
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี