ที่ผ่านๆ มา มักจะมีการอ้างหรือวิเคราะห์กันว่า ที่ประเทศไทยยังก้าวไปเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยอย่างแท้จริงไม่ได้ ก็เพราะประชาชนพลเมืองยังไม่พร้อมด้วยองค์ความรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติ และวิธีการปฏิบัติ ฉะนั้น ประชาธิปไตยของไทยเลยต้องเดินกันไปแบบมีผู้ชี้นำ จำเป็นต้องมีการกำกับและควบคุม หรือที่เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยแบบจำกัด
ซึ่งก็แปลกที่มักจะจบกันอยู่แค่นั้น ไม่ค่อยมีผู้ใดแสดงความคิดเห็นต่อเนื่องในเรื่องที่ว่า แล้วที่ประชาชนพลเมืองไทยยังไม่พร้อมนั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุใด หรือมาหาข้อเท็จจริงกันว่า ที่ประชาธิปไตยไทยล้มลุกคลุกคลานมากว่า 80 ปี เพราะประชาชนพลเมืองเป็นต้นเหตุ หรือสาเหตุจริงหรือไม่
หากมองย้อนกลับไปกว่า 80 ปี จนถึงวันนี้ ผมกลับเห็นว่า สังคมเสรีประชาธิปไตยของไทยนั้นมีความก้าวหน้าอย่างมาก ที่พูดอย่างนี้ เพราะมีโอกาสได้ไปสัมผัสชาวไทยในทุกภูมิภาค ได้ติดตามข่าวสารและยังได้ร่วมแสดงความคิดเห็นในเวทีต่างๆ รวมถึงในการร่วมชุมนุมเพื่อแสดงออกต่อความเป็นไปของบ้านเมือง
ผมได้พบว่า พี่น้องชาวไทยโดยทั่วไป ต่างสนใจการบ้านการเมือง พอรู้เรื่องการเมือง รู้เรื่องการบริหารและตอบสนองมากน้อยแค่ไหนของภาครัฐ รู้เรื่องความหวังและไม่สมหวัง ตระหนักรู้ในข้อจำกัดของการได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดให้กับตัวแทนและผู้ปกครองและผู้ให้บริการ
ประชาชนไทยมีทุนเดิมในการเป็นพลเมืองเสรีประชาธิปไตย และมีศักยภาพที่จะขึ้นมาเสมอเหมือนและไม่ด้อยไปกว่าคนญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ หรือฮ่องกง หรือคนยุโรป หรือคนอเมริกัน
แต่ปัญหาความเชื่องช้าในการเติบโตของประชาธิปไตยไทยนั้น มาจากการที่ผ่านๆ มา ประชาชนพลเมืองไทยมักจะถูกบอนไซ ถูกลิดรอนสิทธิ ถูกปิดโอกาส ถูกปิดหูปิดตาต่างหาก
เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะเขาถูกขโมยการมีส่วนร่วมทางประชาธิปไตยไปต่างหาก (ทั้งๆ ที่คนไทยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เป็นเจ้าของอำนาจรัฐแท้ๆ) ซึ่งหากไม่ถูกขโมยไป เขาก็น่าจะเติบโตขึ้นเป็นพลเมืองประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ได้ไม่ยากเย็น และประเทศไทยจะเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยได้อย่างสง่างาม สมเกียรติ สมศักดิ์ศรี ไปนานปีแล้ว
ซึ่งก็คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า การขโมยการมีส่วนร่วมทางประชาธิปไตยของประชาชนไทยไป ก็เสมือนการขโมยประชาธิปไตยไปจากประเทศไทยนั่นเอง
แล้วใครเล่าที่ขโมยการมีส่วนร่วมประชาธิปไตยไปจากชาวไทย ถ้าให้กล่าวไป ก็มีอยู่หลายจำพวก ไม่ว่าจะเป็น
1.พวกใช้การเลือกตั้งแค่เป็นเครื่องมือกลไกเพื่อให้ได้อำนาจรัฐ แล้วใช้อำนาจรัฐเพื่อการประพฤติอันมิชอบ และกอบโกยภาษีราษฎรหรือหยาดเหงื่อของประชาชนพลเมือง ซึ่งในกลุ่มนี้ก็มีทั้ง
a.ครอบครัวการเมืองและสืบทอดอำนาจกันเป็นตระกูล หรือวงศ์วานการเมือง (Political Dynasty)
b.กลุ่มทุนสามานย์ หรือธุรกิจการเมือง
c.กลุ่มนักการเมืองขายตัว ขายจิตวิญญาณ
d.กลุ่มฝักใฝ่อำนาจ (มักจะเป็นอดีตข้าราชการตำรวจใหญ่ เป็นข้าราชการแล้วไม่พอต้องใหญ่ทางการเมืองต่อด้วย)
2.กลุ่มอำนาจนิยม กลุ่มพึ่งอำนาจ ก็มักจะมาจากแวดวงที่มีความคิดอ่านเป็นอนุรักษ์นิยม ซึ่งกระจัดกระจายทั้งในวงการธุรกิจ สื่อ วิชาการและปัญญาชน ที่มักวิ่งเข้าหาหรือเป็นกองเชียร์ให้กับกองทัพและผู้มีอำนาจรัฐใดๆ โดยหารู้ไม่ว่าได้ร่วมทำลายเสรีประชาธิปไตย หรือรู้แล้วแต่เชื่อเรื่องเสถียรภาพของสังคมต้องมาก่อน ประชาชนพลเมืองเป็นแค่ราษฎรลูกบ้าน แค่คอยรับคำสั่งและการป้อนต่างๆ ก็เพียงพอ
3.กลุ่มกองทัพและข้าราชการประจำเองที่เชื่อว่า กลุ่มตนเท่านั้นที่เก่งกล้าสามารถที่จะนำพาประเทศได้ดีกว่า
กลุ่มอื่นใด (โดยเฉพาะการปลูกฝังแนวคิดที่ว่า ฉันดีกว่ากลุ่มการเมืองอาชีพอย่างแน่นอน) โดยไม่ยอมรับหลักที่ว่า ข้าราชการประจำทุกประเภทนั้น เป็นผู้ปฏิบัติ เป็นมือเท้าให้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่จู่ๆก็กลับตั้งตัวเป็นฝ่ายการเมือง หรือสถาบันการเมืองเสียเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องการขาดองค์ความรู้ และทัศนคติเกี่ยวกับสังคมเสรีประชาธิปไตย
นอกจากนั้น ยังมีอีกหนึ่งอุปสรรคในการก้าวไปเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คือ ระบบความคิด ทัศนคติและค่านิยมที่กระจัดกระจายทั่วไปในสังคมไทย คือการเกรงกลัวกลุ่มมีอิทธิพล ตำแหน่งหน้าที่ ความมั่งคั่ง พร้อมไปกับการคิด
ที่จะต้องพึ่งพา รวมไปถึงบุญคุณ (ที่มิชอบหรือไม่มีความชอบธรรม)เป็นระบบอุปถัมภ์ค้ำจุน เล่นพรรคเล่นพวก ขาดความโปร่งใส ขาดการตรวจสอบ และขาดการหาคนรับผิดชอบ
ให้ได้
เมื่อรู้ถึงตัวการที่ขโมยการมีส่วนร่วมทางประชาธิปไตยแล้ว ประเทศไทย และชาวไทยเรา จะไปแก้ไขกันอย่างไร
จากการที่ผมมีโอกาสตระเวนไปหลายจังหวัดทั่วไทย ได้พบปะผู้คนหลากหลาย ผมก็เห็นทางออกสำคัญอยู่ 2-3 ประการคือ ประชาชนไทย จะต้องร่วมผลักดันให้รัฐ
1.สนับสนุนประชาชนพลเมืองได้รู้ทุกเรื่องของชาติบ้านเมืองอย่างกว้างขวาง โดยต้องกระจายข้อมูลการดำเนินงาน
ต่างๆ อย่างไม่ปิดบังใดๆ เช่น แผนใช้งบประมาณ การประมูล และความคุ้มค่าของโครงการต่างๆ เมื่อประชาชนพลเมือง
ได้รับข้อมูลที่ชัดเจน ก็จะยิ่งรู้ ก็จักได้คิด ได้วิพากษ์วิจารณ์ และได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ในการตรวจสอบและเสนอแนะ
ต่อการดำเนินงานภาครัฐ สิ่งนี้ถือเป็นหัวใจต่อการพัฒนาไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงนั่นคือ รัฐเป็นผู้บริการประชาชน
2.เปิดเวทีทุกระดับ เพื่อเอาเรื่องบ้านเมือง เรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ มาให้รับฟัง มาอภิปรายกันอย่างกว้างขวางชี้ให้เห็นผลดีผลเสียอย่างถูกต้อง เป็นธรรม ผู้ใดบิดเบือนข้อเท็จจริงต่อสังคมต้องได้รับโทษหนัก อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานว่า บนเวทีสาธารณะจะต้องมีแต่ข้อเท็จจริงเท่านั้น
3.เปิดโอกาสให้ประชาชนพลเมืองได้ร่วมตัดสินใจ โดยการลงคะแนนเสียง และลงประชามติ ให้มากที่สุดในเรื่องสำคัญๆ เรื่องของพื้นที่หรือภูมิภาค ก็ให้ท้องที่นั้นๆลงคะแนนตัดสินใจ เรื่องระดับชาติก็ให้มีการลงประชามติ
4.ออกกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ไม่ว่าระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ จะต้องมีผลการตัดสินใจของประชาชนพลเมืองเสียก่อน มิใช่ไปว่ากันแค่ระดับหน่วยงาน แค่สภา โดยใช้เสียงข้างมากเท่านั้น เพราะในระบอบประชาธิปไตยนั้น ประชาชนพลเมืองต้องมาก่อน ต้องเป็นที่ตั้ง เป็นจุดเริ่มต้น
5.สนับสนุนการบ่มเพาะเยาวชนทั้งในและนอกโรงเรียน เพื่อให้เป็นพลเมืองประชาธิปไตย ซึ่งก็แน่นอน ตัวผู้บริหารและโดยเฉพาะครูบาอาจารย์ต้องเป็นนักประชาธิปไตยไปในตัวด้วย ซึ่งก็ต้องมีการฝึกอบรมครูประชาธิปไตยอย่างใหญ่หลวง
6.จัดเวลาสถานีวิทยุโทรทัศน์และสื่อสมัยใหม่ (Social Radio)ของภาครัฐทั้งหมด เพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร เพื่อการอภิปรายทั้งฝ่ายเสนอและฝ่ายคัดค้าน เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนพลเมือง
7.มุ่งกระจายอำนาจ โดยลดบทบาทของภาครัฐ คือข้าราชการ และโอนงานให้ท้องถิ่น ท้องที่ ให้ชุมชน ให้ภาคประชาสังคม ให้ภาควิชาชีพ เขาดูแลตนเอง
8.มุ่งแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจรัฐมากมาย ให้โอนกลับมาให้ประชาชนพลเมือง
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็อยู่บนพื้นฐานที่ว่า หากประชาชนพลเมืองเข้มแข็งขึ้นด้วยองค์ความรู้ ทักษะ ทัศนคติแล้ว ก็ยากที่ใครจะหาญมาขโมยประชาธิปไตยไปได้อีกในอนาคต
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี