เมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญไปรับรางวัล “เพชรพัสดุ” ประจำปี 2560 ซึ่งมีการแจกให้กับผู้ทำงานเกี่ยวกับการพัสดุของประเทศเป็นประจำมาทุกปี
นายกสมาคมนักบริหารพัสดุแห่งประเทศไทย คุณวัลลภ ภักดีสุข ได้กล่าวขอบคุณผมที่ได้สนับสนุนนำเรื่องของสมาคมผู้บริหารพัสดุแห่งประเทศไทยเข้าเสนอคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) เพื่อให้ตำแหน่งเจ้าหน้าที่พัสดุเป็นตำแหน่งเป็นวิชาชีพอีกแขนงหนึ่ง ซึ่งก็ได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี จนได้มีกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
มาตรานี้นับเป็นส่วนสำคัญใน พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างใหม่ฉบับนี้ ที่ไม่เพียงแต่มีการออกกฎเกณฑ์ กติกา ระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างใหม่เท่านั้น แต่ได้คำนึงถึงด้านการพัฒนาส่งเสริมตัวบุคลากร ที่จะต้องควบคุมดูแลกฎหมายใหม่นี้โดยตรงด้วย ซึ่งก็หมายถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เราเรียกว่าเจ้าหน้าที่พัสดุ ที่ต้องมาทำหน้าที่ดูแลการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ของประเทศที่มีวงเงินมหาศาลถึง 4-5 แสนล้านบาทในทุกๆ ปีด้วย
บุคลากรกลุ่มนี้จึงมีความสำคัญมาก และกฎหมายนี้ก็ได้ให้ความสำคัญ กำหนดมาตรการสนับสนุนไว้เป็นพิเศษ ถึงแม้จะไม่ได้เปลี่ยนชื่อตำแหน่งออกมาให้เป็นผู้อำนวยการจัดซื้อจัดจ้าง อย่างชื่อเรื่องบทความนี้ แต่หน้าที่นั้นก็ชัดเจนว่าเป็นคนสำคัญที่สุดในการจัดซื้อจัดจ้างของแต่ละหน่วยงาน
การพัฒนาการจัดซื้อจัดจ้างนั้น เป็นการเปลี่ยนที่สำคัญที่จะรองรับแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีฉบับใหม่ของชาติ ที่ได้วางไว้รับอนาคตที่เศรษฐกิจไทยจะเจริญรุ่งเรือง มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายความว่า รัฐจะมีรายได้เข้ามาใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น แผนยุทธศาสตร์ฉบับนี้ จึงมีเป้าหมายที่จะต้องพัฒนาภาครัฐให้มีสมรรถนะสูง มีการพัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนและพัฒนาบุคลากรให้ทันสมัย เป็นธรรมและเป็นสากล
หนึ่งในหน่วยงานที่มีความสำคัญมากที่สุดคือเจ้าหน้าที่ที่ต้องดูแลการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเดิมวงเงินที่ดูแลมีไม่มากนัก แต่ต่อไปจะเพิ่มขึ้นมหาศาล เพราะหน่วยงานที่มีงบประมาณเป็นหมื่นล้านก็อาจจะเพิ่มเป็นแสนล้านต่อปีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
ในอนาคตเมื่อการจัดซื้อจัดจ้างในประเทศจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่วางระเบียบและควบคุมไว้ เป็นมาตรฐานอันเดียวกันหมด นี่ย่อมหมายถึงว่า วงเงินที่เจ้าหน้าที่พัสดุทั่วประเทศต้องดูแลรวมกันจะมีมูลค่าไม่ใช่ 4 หรือ 5 แสนล้านอีกต่อไปแล้ว แต่จะยกระดับวงเงินขึ้นไปอย่างน้อยปีละ 1 ล้านล้านบาทอย่างแน่นอน
สำหรับการรองรับเหตุการณ์นี้ ในพ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหาร พัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ซึ่งประกาศมาเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2560 และมีผลบังคับใช้แล้วในขณะนี้ มีการกำหนดไว้ว่า “การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของหน่วยงานของรัฐต้องก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่หน่วยงานของรัฐ และต้องสอดคล้องกับหลักการสำคัญ 4 ประการคือคุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพประสิทธิผล และตรวจสอบได้” โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า
1.คุ้มค่า โดยพัสดุที่จัดซื้อจัดจ้างต้องมีคุณภาพหรือคุณลักษณะที่ตอบสนองวัตถุประสงค์ ในการใช้งานของหน่วยงานของรัฐ มีราคาที่เหมาะสม และมีแผนการบริหารพัสดุที่เหมาะสมและชัดเจน
2.โปร่งใส โดยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุต้องกระทําโดยเปิดเผย เปิดโอกาสให้มี การแข่งขันอย่างเป็นธรรม มีการปฏิบัติต่อผู้ประกอบการทุกรายโดยเท่าเทียมกัน มีระยะเวลาที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการยื่นข้อเสนอ มีหลักฐานการดําเนินงานชัดเจน และมีการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุในทุกขั้นตอน
3.มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยต้องมีการวางแผนการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุล่วงหน้าเพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีกําหนดเวลาที่เหมาะสม โดยมีการประเมินและเปิดเผยผลสัมฤทธิ์ของการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ
4.ตรวจสอบได้ โดยมีการเก็บข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุอย่างเป็นระบบ เพื่อประโยชน์ในการ
ตรวจสอบ
ภารกิจสำคัญเหล่านี้จะต้องได้รับการสนับสนุนให้ขยับหน้าที่เจ้าหน้าที่พัสดุเดิมไปสู่หน้าที่ผู้อำนวยการการจัดซื้อจัดจ้างจึงจะเหมาะสมและจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากมหาศาล ในยุค 4.0
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี