2–3 สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้รับเกียรติจากคุณมูฮัมหมัด ยูนูส ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เชื้อเชิญให้ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึก (Open Letter) ถึงคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ (The United Nations Security Council–UNSC องค์การสูงสุดของสหประชาชาติหรือของประชาคมโลกที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องสันติภาพและความมั่นคงโลก ในนามของ 193 ประเทศสมาชิกสหประชาชาติ) เพื่อให้ดำเนินมาตรการกับประเทศพม่า ในการแก้ไขปัญหาชนกลุ่มน้อยมุสลิมชาวโรฮีนจาที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนมาเป็นเวลานานหลายสิบปี โดยล่าสุดถูกกองกำลังทหารพม่ากวาดล้าง ใช้ข้ออ้างว่าเป็นปฏิบัติการขจัดผู้ก่อการร้ายและกลุ่มหัวรุนแรงติดอาวุธ ซึ่งส่งผลให้ชาวโรฮีนจาต้องหนีตายข้ามพรมแดนเข้าไปอยู่ในประเทศบังกลาเทศกว่า 400,000 คน โดยก่อนนี้ก็มีการอพยพไปก่อนแล้วกว่า 250,000 คน และยังมีกระจัดกระจายอยู่ที่ประเทศไทยและมาเลเซียอีก 100,000 กว่าคน จำนวนเหล่านี้ยังไม่นับรวมที่ได้อพยพและไปทำงานที่ตะวันออกกลางอีกประมาณกว่าครึ่งล้านคน
นายมูฮัมหมัด ยูนูส (ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ในฐานะผู้เพียรพยายามแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำในสังคมบังกลาเทศ โดยเฉพาะชาวบังกลาเทศเพศสตรี ด้วยโครงการกู้เงินจำนวนน้อยๆ เพื่อเริ่มต้นชีวิต ก่ออาชีพต่างๆ แบบจุลเครดิต/Micro-Credit) ได้ออกมาเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องดังกล่าวนี้ ซึ่งนอกจากเพราะเขาเป็นคนมุสลิมและเป็นชาวบังกลาเทศแล้ว
ก็เพราะเขาเองมีความเดือดเนื้อร้อนใจ เป็นห่วงเป็นใย รักและใฝ่หา ยึดมั่นในความยุติธรรมและความถูกต้องอย่างแรงกล้าอีกด้วย
อีกทั้งนายมูฮัมหมัด ยูนูส ถือได้ว่าเป็นผู้ที่รู้จักมักคุ้นกับ นางออง ซาน ซู จี ผู้นำรัฐบาลพม่าที่มาจากการเลือกตั้ง ในฐานะต่างที่เป็นผู้ได้ร่วมรับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพด้วยกัน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ นายมูฮัมหมัดยูนูส ก็เหมือนผู้คนทั่วไปทั่วโลก ที่ศรัทธา ชื่นชม เคารพนับถือและเอาใจช่วยนางออง ซาน ซู จี มาตลอด ตั้งแต่เธอถูกขโมยชัยชนะการเลือกตั้งโดยรัฐบาลทหารพม่าเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว และถูกรัฐบาลทหารคุมขังในคุกตะรางต่อมาถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้านพักส่วนตัว จนกระทั่งรัฐบาลทหารพม่าจำต้องปล่อยตัวให้เป็นอิสระ และคืนประชาธิปไตยให้ชาวพม่า ด้วยมิสามารถทานแรงกดดันพลังคน และการประกาศคว่ำบาตรของประชาคมโลกได้อีกต่อไป
บัดนี้ นางออง ซาน ซู จี มีตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองและเป็นบุคคลชั้นนำเบอร์หนึ่งของพม่า ซึ่งชาวโลกต่างยินดียิ่ง และก็ทำให้มีความหวังยิ่งใหญ่ที่ว่า เธอจะสามารถนำพาประเทศพม่าไปสู่สันติสุข และความเจริญก้าวหน้า
ที่ผ่านมา แม้จะมีอะไรขลุกขลักในพม่าบ้าง ประชาชาติก็พร้อมจะหลับตาข้างหนึ่ง เพราะเข้าใจว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญพม่าฉบับล่าสุดยังเปิดทางให้กองทัพพม่ามีบทบาททางการเมืองอย่างกว้างขวาง ซึ่งการพัฒนาทางการเมืองโดยทั่วไปในพม่า ก็ดูมีเสถียรภาพดูจากการเจรจากับรัฐชนกลุ่มน้อยต่างๆ เพื่อยุติการสู้รบการวางอาวุธ และการแบ่งแยกอำนาจระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลรัฐ มีความคืบหน้าไปอย่างมาก เศรษฐกิจประเทศก็ดีขึ้น การพัฒนาสังคมมีคุณภาพมากขึ้น สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้ชาวโลกเห็นว่า นางออง ซาน ซู จี หรือฝ่ายพลเรือนสามารถจะอยู่และทำงานร่วมกับฝ่ายทหาร ประคับประคองประเทศกันไปได้ แบบถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่อย่างไรก็ตาม ประชาคมโลกก็ยังหวังต่อไปว่า ในอนาคตของพม่า บทบาทฝ่ายทหารในวงการเมืองจะค่อยๆจืดจางหายไปอย่างถาวร และเป็นสังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ ชนิดที่ว่าคนพม่ามีสิทธิเสรีภาพและมีความเสมอภาคทุกคนอย่างเต็มที่
เมื่อเรื่องอื่นยังร่วมมือกันทำงานได้ แต่ไฉนเลยกับปัญหาพลเมืองพม่าเชื้อสายโรฮีนจามุสลิมนี้นางออง ซาน ซู จี จึงปล่อยให้แม่ทัพนายกองพม่าดำเนินการแบบตามอกตามใจ โดยไม่แม้แต่จะแสดงความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ใดๆ ทั้งๆ ที่เห็นชัดๆ ว่า มันเป็นการดำเนินการที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนที่นางออง ซาน ซู จี ยึดมั่นมาโดยตลอด โดยเฉพาะกับหลักความเสมอภาคของพลเมืองพม่าทุกคน ที่รองรับไม่ว่าจะเป็นชาติพันธุ์ เชื้อชาติ หรือมีความเชื่อถือหรือสีผิวใดๆ
ชาวโรฮีนจาถูกตัดสิทธิ์พลเมืองด้วยฝีมือรัฐบาลทหารเมื่อ 50 กว่าปีมาแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่มิได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาลพม่า นอกจากนั้นยังมีการโหมโฆษณาชวนเชื่อ มอมเมาให้ชาวพม่าเชื้อสายอื่นๆ เชื่อและคล้อยตามไปด้วยว่า ชาวโรฮีนจามิใช่พลเมืองพม่า เป็นพวกอพยพมาจากบังกลาเทศ (หรือจากอินเดียเดิมก่อนแยกเป็นอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ) โดยมีคนอังกฤษ
เจ้าอาณานิคมเป็นคนนำเข้ามา หรือปล่อยให้เข้ามาซึ่งตรงกันข้ามกับหลักฐานที่ชาวโรฮีนจาพยายามแสดงให้ทราบว่า พวกเขาอยู่กันในพื้นที่นี้มาหลายร้อยปีแล้วก่อนอังกฤษจะบุกมายึดครองอาณานิคมเสียอีก
อีกด้านหนึ่ง หากรัฐบาลพม่าใช้ข้ออ้างว่า ชาวโรฮีนจามาอยู่ในเขตแดนของตนด้วยฝีมือของอังกฤษ ก็ต้องย้อนดูประวัติศาสตร์ที่ว่าอินเดียและพม่าเป็นเขตปกครองเดียวกับของอาณานิคมอังกฤษ ดังนั้นเมื่อพม่าได้รับเอกราชคืนจากอังกฤษแล้ว ตามกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐบาลพม่าจะต้องรับสิทธิ์และความรับผิดชอบใดๆ ที่เกิดหลังจากการปกครองของอังกฤษกลับไปทั้งหมดด้วย นั่นย่อมรวมไปถึงการรับชนกลุ่มน้อยทุกคนที่ปรากฏขึ้นระหว่างช่วงเวลานั้น ให้เป็นพลเมืองพม่าที่เท่าเทียมเช่นกัน
และการที่ชาวโลกต่างตั้งความหวังไว้ว่า นางอองซาน ซู จี ดาวประกาย ดาวจรัสแสงของโลกในเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย จะเป็นผู้นำที่สามารถแก้ปัญหาชาวโรฮีนจาให้ลุล่วงได้โดยสันตินั้น ไม่เป็นที่น่าแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาโลกได้เห็นนางออง ซาน ซู จี ต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรมของมนุษย์มาโดยตลอด
แต่การเพิกเฉยของนางออง ซาน ซู จี ต่อการดำเนินการของกองทัพพม่าในวันนี้ ทำให้ชาวโลกเศร้าสลดไปตามๆ กัน จนถึงขนาดเพื่อนรางวัลโนเบล “ร่วมรุ่น” ต่างต้องออกมาแสดงท่าทีเพื่อเรียกร้องให้นางออง ซาน ซู จี ออกมาแสดงบทบาทผู้นำประเทศพม่าในการแก้ไขปัญหานี้ให้สมกับที่เป็นบุคคลชั้นนำที่โลกยกย่องดั่งที่ผ่านๆ มา
แต่หลังจากคำแถลงทีท่าล่าสุดของนางออง ซาน ซู จี ต่อกรณีปัญหาโรฮีนจานั้น เริ่มจะทำให้ชาวโลกกังขาว่าเธออาจจะมิใช่นักต่อสู้ นักเคลื่อนไหว นักอุดมการณ์ อีกต่อไปแล้ว โดยผู้ที่ได้ฟังต่างเริ่มรู้สึกว่า เธอถูกกลืนจนกลายเป็นนักการเมืองที่คำนึงแต่ฐานเสียงและการอยู่รอดในตำแหน่งทางการเมืองไปเรื่อยๆ โดยเลือกที่จะไม่เผชิญกับฝ่ายกองทัพที่สร้างปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ทำเพียงแค่ออกแถลงการณ์ประคองปัญหาไว้ และไม่กล้าที่จะพูดความจริงกับคนพม่าทั้งชาติ
โดยส่วนตัว ผมมีโอกาสพบปะนางออง ซาน ซู จีอยู่ 2 ครั้ง 2 ครา ผมก็จัดเป็นแฟนคลับและได้แสดงตัวว่าผมพร้อมจะร่วมงานต่างๆ เกี่ยวกับความร่วมมือของไทยกับพม่าและอาเซียน รวมทั้งความถูกต้องของมวลมนุษย์
ครั้งนี้ในการร่วมลงนามในฐานะคนไทย โดยมี ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเลขาธิการอาเซียนอีกคนหนึ่งในจดหมายเปิดผนึกโดยการรณรงค์ของคุณมูฮัมหมัดยูนูส นอกจากในฐานะที่เป็นผู้ร่วมอุดมการณ์ประชาธิปไตยแล้ว ก็ยังด้วยฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งที่เคารพและชื่นชม นางออง ซาน ซู จี ซึ่งผมเองก็ได้แต่หวังว่าครั้งนี้ นางออง ซาน ซู จี จะได้สนใจฟังคำจาก “เพื่อนๆ” สักครั้ง
“ความดีงามนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ก็จะอยู่คงที่สม่ำเสมอ นอกจากนั้นแล้ว ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ความดีงามจะไปโอนอ่อน ออมชอมกับความไม่ดีงามมิได้”
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี