ประเด็นที่องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสซื้อและขายตราสารหนี้ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เป็นเรื่องที่จบลงแบบค้างคาใจสาธารณชนที่ติดตามประเด็นนี้ เนื่องจากไม่พบความกระจ่างชัดในการดำเนินการแต่อย่างใด
สาธารณชนสามารถย้อนกลับไปดูเรื่องนี้ได้จากหนังสือของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่ส่งถึงส.ส.ท. ลงนามโดยนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2560 ใจความตอนหนึ่งระบุว่า
“…การแสวงหากำไรโดยนำเงินไปลงทุนในหุ้นกู้จึงเป็นกิจการนอกเหนือภารกิจหลักและไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์การจัดตั้งองค์การ ส่งผลให้ระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเงินการบัญชี และการงบประมาณ พ.ศ. 2558 ข้อ 9 ซึ่งกำหนดให้ ส.ส.ท. สามารถนำรายได้ไปหาผลประโยชน์ได้ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด เป็นระเบียบที่ไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 นอกจากนี้ ในกระบวนการอนุมัติซื้อและสั่งจ่ายเงินฝากจำนวน 193,615,553.80 บาท เพื่อซื้อหุ้นกู้ CPF มีการปฏิบัติไม่เป็นตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นการสั่งจ่ายเงินคราวหนึ่งเกินกว่าห้าสิบล้านบาท ซึ่งระเบียบกำหนดว่าต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบาย เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่าคณะกรรมการนโยบายมิได้กำหนดให้ผู้อำนวยการหรือกรรมการบริหารมีอำนาจสั่งจ่ายเงินสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ที่บริษัทเอกชนเป็นผู้ออก ผู้อำนวยการและกรรมการบริหารจึงไม่มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว…”
ข้อความจากหนังสือที่สตง.ส่งถึงส.ส.ท.ฉบับนี้มีข้อความชัดเจนตรงที่ว่า “เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าคณะกรรมการนโยบายมิได้กำหนดให้ผู้อำนวยการหรือกรรมการบริหารมีอำนาจสั่งจ่ายเงิน
สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ที่บริษัทเอกชนเป็นผู้ออก ผู้อำนวยการและกรรมการบริหารจึงไม่มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว”
ตรงนี้จึงทำให้สาธารณชนที่ติดตามประเด็นการซื้อหุ้นกู้ CPF โดย ส.ส.ท. ตั้งคำถามว่า เมื่อผู้อำนวยการและกรรมการบริหารกระทำการไปโดยที่ไม่มีอำนาจสั่งจ่ายเงิน ถือเป็นความผิดใช่หรือไม่ เมื่อผิดแล้วต้องรับผิดชอบสถานใด การลาออกถือว่าความผิดที่ได้ก่อไว้ในองค์การได้จบสิ้นลง ใช่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงหลักการธรรมาภิบาล 12 ข้อ (ปรับใหม่) หน้า 1/1 ของ ส.ส.ท. ข้อ 6 ที่ระบุว่า ต้องรับผิดชอบต่อผลที่เกิดจากการตัดสินใจ และการกระทำต่างๆ โดยทุกอย่างต้องมีคำอธิบายอย่างมีเหตุผล และต้องรีบปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่บกพร่องผิดพลาด
ครั้นเมื่อดูจากเอกสารสรุปประเด็นจากการประชุมคณะกรรมการธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคมของ ส.ส.ท. ครั้งที่ 1/2560 วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2560 เวลา 10.00-13.00 น. หน้า 2 ข้อ 6 ต้องรับผิดชอบต่อผลที่เกิดจากการตัดสินใจ และการกระทำต่างๆ โดยทุกอย่างต้องมีคำอธิบายอย่างมีเหตุผล และต้องรีบปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่บกพร่องผิดพลาด
ประเด็นจากที่ประชุม : ตาม พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
1) หลักความรับผิดชอบร่วม ผู้ลงนามทุกคนในการทำนิติกรรมใดๆ เช่น การสั่งซื้อสั่งจ้าง จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
แต่เมื่อดูจากหนังสือมอบอำนาจของ ส.ส.ท. ที่ ส.ส.ท. 01/48/2560 วันที่ 19 มกราคม 2559 พบว่านายกฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ลงนามในหนังสือมอบอำนาจและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ ตามรายชื่อที่ระบุในเอกสารแนบท้ายหนังสือมอบอำนาจฉบับนี้ โดยผู้รับมอบอำนาจมีหน้าที่ และความรับผิดชอบดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ลงนามในเอกสารเพื่อการจองซื้อ การซื้อ และ/หรือการขาย การโอน และ/หรือการรับโอน รวมถึงการฝาก ถอน การรับ และ/หรือเบิกใบหลักทรัพย์ และเปลี่ยนใบหลักทรัพย์ฉบับเดิมกับฉบับใหม่ การแบ่งแยกใบหลักทรัพย์ ซึ่งตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล ตลอดจนให้มีการลงลายมือชื่อในแบบฟอร์ม คำร้อง เอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดังกล่าว
ข้อ 2 ลงนามในหนังสือยืนยันรายการอันเกี่ยวกับธุรกรรม อาทิ การส่งมอบ และ/หรือการรับมอบพันธบัตร หุ้นกู้ หรือตราสารหนี้อื่นใด
ข้อ 3 เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจคนใดคนหนึ่งสามารถลงนามเพื่อรับรองสำเนาถูกต้องสำหรับเอกสาร รับรองข้อมูล คำขอกล่าว จดหมาย และเอกสารอันใดที่จำเป็นหรือสมควร หรือหนังสือต่างๆ ของ ส.ส.ท. เพื่อใช้สำหรับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเพื่อให้บรรลุถึงผลสำเร็จตามหนังสือมอบอำนาจฉบับนี้
อย่างไรก็ตาม หนังสือมอบอำนาจฉบับนี้ได้ระบุชื่อและนามสกุล และตำแหน่งของผู้มีอำนาจลงนามในการทำธุรกรรม ดังนี้ โดยแบ่งเป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มหนึ่ง นายกฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ กลุ่มที่สอง รองผอ.ส.ส.ท.ทั้งสาม คือ นายอนุพงษ์ ไชยฤทธิ์ นายสุวิทย์ สาสนพิจิตร์ นางวิลาสินี พิพิธกุล ส่วนกลุ่มที่สาม คือผู้อำนวยการสำนักแปดราย คือ นายนราวิทย์ เปาอินทร์ นายโยธิน สิทธิบดีกุล นายกันตชัย ตรีสุคนธ์ นายก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ นายสมเกียรติ จันทรสีมา นางขนิษฐา หงสประภาส นางสาวศุลีพร ปฐมนุพงษ์ นางสุดารัตน์ ดิษยวรรธนะ จันทราวัฒนากุล
โดยหนังสือฉบับนี้ลงนามกำกับสำเนาถูกต้องโดยนายกฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้อำนวยการ ส.ส.ท.
ส่วนในหนังสือรับรองคุณสมบัติการเป็นผู้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีข้อจำกัดการโอน ของ Thailand Securities Depository (TSD) วันที่ 20 มกราคม 2560 ชื่อหลักทรัพย์ CPF218B ระบุชื่อผู้ถือหลักทรัพย์/สมาชิกผู้ฝากคือ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย เอกสารฉบับนี้มีลายเซ็นของนายกฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ นายอนุพงษ์ ไชยฤทธิ์ นางวิลาสินี พิพิธกุล ตรงช่องผู้ถือหลักทรัพย์/สมาชิกผู้ฝาก
ในใบแบบคำขอถอนหลักทรัพย์ จากบัญชีสมาชิกผู้ฝากหลักทรัพย์ ของ TSD ระบุชื่อหลักทรัพย์ หุ้นกู้บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2556 ชุดที่ 3 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2564 ระบุชื่อเจ้าของหลักทรัพย์คือ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย จำนวนหลักทรัพย์ 180,000 หน่วย ลงลายเซ็นชื่อของนายกฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ นายอนุพงษ์ ไชยฤทธิ์ นางวิลาสินี พิพิธกุล เหนือองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
เอกสารลงวันที่ 15 มีนาคม 2560 คำแถลงการณ์ กรณีการซื้อตราสารหนี้บริษัทซีพีเอฟ โดยคณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. มีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า ซึ่งผู้อำนวยการส.ส.ท.ไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าว เพราะเข้าใจว่าได้รับความเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบาย วันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ขอลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการดำเนินการครั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายชื่นชมการตัดสินใจของผู้อำนวยการและฝ่ายบริหารว่าเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อองค์กรในฐานะสื่อสาธารณะของประเทศ แม้กรณีนี้จะไม่ใช่เรื่องทุจริตแต่อย่างใด
ขอให้ผู้อ่านได้โปรดอ่านข้อความย่อหน้าสุดท้ายอีกแล้ว แล้วใช้ดุลยพินิจไตร่ตรองว่าคณะกรรมการนโยบายส.ส.ท.แสดงความรับชอบต่อกรณีการซื้อตราสารหนี้ของซีพีเอฟบ้างหรือไม่ แล้วประเด็นสำคัญที่ต้องตั้งคำถามกับส.ส.ท.คือ ในองค์กรแห่งนี้ยึดมั่นในหลักความรับผิดชอบร่วมโดยเคร่งครัด มากน้อยเพียงใด ประเด็นสำคัญที่ส.ส.ท.ต้องตอบกับสังคมให้ชัดเจนคือ ใครต้องรับผิดชอบกับการซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟ หากส.ส.ท.มั่นใจว่าไม่มีความผิดใดๆ ในการดำเนินการดังกล่าวแล้ว เหตุใดจึงอนุมัติให้นายกฤษดาลาออกด้วยเหตุผลของการอนุมัติซื้อหุ้นกู้ที่เป็นปัญหา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี