ข่าวสะพัดว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เตรียมออก พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ… ซึ่งหากมีผลบังคับใช้เมื่อใด จะมีการจัดเก็บค่าน้ำใช้ในนาไร่จากเกษตรกร ในอัตราค่าน้ำตั้งแต่ไม่เกิน 50 สตางค์- 3 บาทต่อลูกบาศ์กเมตร ขึ้นอยู่กับว่าเป็นผู้ใชน้ำประเภทใด
ปรากฏว่า เกิดวิวาทะโต้แย้ง วิพากษ์วิจารณ์ โอดครวญ ด่าทอ ในทำนองว่าเป็นการซ้ำเติมเกษตรกรคนยากจน กลายเป็นประเด็นการเมืองที่ไม่ได้ถกเถียงถึงที่มาที่ไปของแนวคิด เรียนรู้ข้อดี-ข้อเสีย
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ร่างพ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ สนช. กระบวนการพิจารณายังไม่ได้ข้อยุติในการเก็บค่าใช้น้ำจากเกษตรกร ขณะนี้ รัฐบาลยังไม่มีแนวคิดที่จะเก็บค่าน้ำกับเกษตรกรแต่อย่างใด
ข้อเท็จจริงเรื่องทรัพยากรน้ำในประเทศไทย
ก่อนพิจารณาเรื่องว่าจะเก็บค่าน้ำหรือไม่ อย่างไร ควรทำความเข้าใจข้อเท็จจริงพื้นฐาน ดังนี้
1. ประเทศไทยไม่เคยมีการเก็บค่าใช้น้ำในการเกษตรมาก่อน
มีเพียงการเก็บค่าน้ำประปาที่ใช้อุปโภคบริโภค ในกิจการพาณิชย์และอุตสาหกรรม
โดยการเก็บค่าน้ำประปานั้น มีการทำให้ชาวบ้านเห็นค่าใช้จ่ายในการลงทุน วางระบบท่อ ต่อท่อ มีบ่อประปา ระบบบำบัด ปรับคุณภาพน้ำ ฯลฯ ชาวบ้านจึงรู้สึกรับได้ที่จะจ่ายค่าน้ำประปา เกิดความรู้สึกนึกคิดฝังแน่นว่า อะไรที่อยู่ในธรรมชาติเป็นของฟรีทั้งหมด ใครจะใช้มากเท่าไหร่ก็ได้ มือใครยาวสาวได้สาวเอา นั่นอาจเป็นความจริงในอดีต ขณะที่ยังมีน้ำมาก ใครจะใช้น้ำมากเท่าใดก็ไม่กระทบคนอื่น ไม่จำเป็นต้องวางระบบให้ใครดูแลเป็นเจ้าของทรัพยากรน้ำ ทำหน้าที่จัดสรรจัดการน้ำให้เกิดความเป็นธรรม ตลอดจนเกิดการลงทุนพัฒนาเพิ่มเติม
จำได้ว่า เมื่อสมัย 50 ปีที่แล้วนี่เอง ใครต้องซื้อน้ำเปล่าบรรจุขวดมากิน ผมและใครหลายคนคงก็คงเห็นเป็นเรื่องแปลก น่าตกใจ เพราะน้ำมาจากธรรมชาติ ฝนตกลงมาก็รองไว้กินไว้ใช้ได้ แต่ปัจจุบัน เราจะเห็นว่าคนในสังคมเริ่มรู้สึกว่าการซื้อน้ำกินเป็นเรื่องปกติแล้ว
2. น้ำต้นทุนของประเทศในแต่ละปี มีจำกัดอยู่จำนวนหนึ่ง
ประเทศไทยมีข้อจำกัดในการจะขยายปริมาณน้ำต้นทุน จึงจำเป็นต้องใส่ใจจริงจังกับการบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
3. การพัฒนาคลองส่งน้ำ คลองย่อย หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าคลองไส้ไก่ ในประเทศเรามีไม่มากในปัจจุบัน โดยหยุดการพัฒนา รวมถึงมีปัญหาในการบำรุงดูแลรักษามานานแล้ว แถมมีความสับสนตั้งแต่ขั้นพื้นฐานว่าใครคือเจ้าของดูแลจัดการคลองส่งน้ำ? ใครต้องจัดการดูแลบำรุงรักษา?
4. เกษตรกรที่อยู่ต้นน้ำ ที่อยู่ต้นคลองส่งน้ำ สามารถใช้น้ำเกินจำเป็น เกินพอดี เพราะเมื่อเป็นของฟรี ก็มักจะใช้เผื่อไว้ก่อน ด้วยวิธีคิดว่าเหลือดีกว่าขาด ส่งผลให้เกษตรกรที่อยู่ท้ายน้ำ อยู่ปลายคลองส่งน้ำขาดแคลนน้ำ ไม่มีน้ำเพียงพอในการทำเกษตรกรรม
นอกจากจะสร้างความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรมต่อเกษตรกรด้วยกันแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เพราะจะมีเกษตรกรที่มีน้ำใช้เหลือเฟือ ผลผลิตดีมาก และอีกส่วนขาดแคลนน้ำ ผลผลิตต่อไร่ต่ำมาก และทำให้ต้นทุนโดยรวมของผลผลิตแพงกว่าที่ควรจะเป็น (แม้ว่ารายที่ใช้น้ำเหลือเฟือจะมีต้นทุนผลผลิตต่อตันต่ำก็ตาม แต่เกษตรกร
ส่วนใหญ่กลับขาดแคลน)
5. ประเทศไทยเรา มีปัญหาการบริหารจัดการน้ำ การจัดสรรน้ำ หมักหมมสะสมมาหลายสิบปี
โดยถือว่าน้ำในแม่น้ำคูคลองเป็นของสาธารณะ ใครใคร่ใช้อย่างไรก็ใช้ ไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของ บำรุงรักษา ดูแล และจัดการจัดสรรการใช้ประโยชน์ให้เกิดประสิทธิภาพ เป็นธรรม ทั่วถึง ตลอดจนทำให้เกิดการตระหนักรู้คุณค่า ต้นทุนที่แท้จริง
ส่วนการพัฒนาคูคลอง ระบบส่งน้ำชลประทานก็ชะงัก เพราะไม่มีระบบจัดการที่มีความเป็นเจ้าของชัดเจน สุดท้าย ระบบน้ำบ้านเราก็เลยเหมือนที่ดินสาธารณะ ที่มีแต่คนเอาขยะไปทิ้ง ไม่มีใครรับภาระลงทุนพัฒนาดูแล
แนวคิดการเก็บค่าน้ำ
การเก็บค่าน้ำเป็นแนวทางหนึ่งของการบริหารจัดการน้ำที่น่าสนใจ
แต่ลำพังแค่เก็บค่าน้ำอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จะต้องดำเนินการเชิงระบบเพิ่มเติมด้วย ดังนี้
1. เก็บค่าใช้น้ำอย่างไร?
ถ้าจะเก็บค่าใช้น้ำ ควรให้เกษตรกรได้ใช้น้ำฟรีในปริมาณน้ำพื้นฐานเบื้องต้นจำนวนหนึ่ง เพราะเคยใช้ฟรีมาโดยตลอด เกษตรรายเล็กไม่กระทบ เหมือนรัฐให้การอุดหนุน ให้น้ำเป็นทุนประกอบอาชีพพื้นฐาน
จากนั้น น้ำส่วนที่ใช้เกินปริมาณพื้นฐานข้างต้น ควรจัดเก็บค่าใช้น้ำในอัตราก้าวหน้า
ชาวนา หรือนักธุรกิจทำนา ประเภทที่มีที่นาเยอะๆ ผลิตเพื่อขายเชิงธุรกิจ เมื่อใช้น้ำเยอะก็ควรจะถูกจัดเก็บค่าน้ำในอัตราก้าวหน้า เพื่อให้มีการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตและการใช้น้ำอย่างคุ้มค่าที่สุด ส่วนจะเก็บอย่างไร ในอัตราเท่าไหร่ ก็สามารถระดมความคิดกันต่อไปได้
2. เงินจากการเก็บค่าใช้น้ำไปไหน?
เงินรายได้จากการเก็บค่าใช้น้ำ ไม่ควรส่งเข้าส่วนกลางเหมือนภาษีทั่วไป
ควรจัดการให้เป็นเงินกองทุนของชุมชนท้องถิ่นนั้น โดยจะต้องนำมาใช้เพื่อการบำรุงรักษาและลงทุนพัฒนาแห่ลงน้ำ ระบบคลองส่งน้ำ มิให้นำไปใช้ในเรื่องอื่นๆ
หากดำเนินการเช่นนี้ เกษตรกรน่าจะดีใจ เพราะมีส่วนร่วมในการพัฒนาดูแลแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน โดยให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทในการบริหารจัดการจัดสรรน้ำ ใครใช้มากจ่ายมาก เงินเข้ากองทุนของท้องถิ่นนั้นๆ มาก ก็สามารถนำไปพัฒนาบำรุงรักษาระบบให้มีคุณภาพมากขึ้นๆ ไปอีก
ประการสำคัญ การวางระบบจัดการให้มีเจ้าภาพดูแลจัดการจัดสรรน้ำ ตลอดจนวางแผนบำรุงรักษา พัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินว่าจะปล่อยน้ำเมื่อไหร่ อย่างไร โดยไม่รวบอำนาจไว้ที่ราชการ ซึ่งที่ผ่านมาข้าราชการมักตัดสินใจแทนชาวบ้านว่าจะปล่อยน้ำให้ทำนาหรือไม่ หลงเชื่อว่าหากไม่ปล่อยน้ำ ชาวนาจะปลูกข้าวน้อยลง แล้วราคาข้าวจะสูงขึ้น ซึ่งไม่เป้นความจริง เพราะราคาข้าวถูกกำหนดจากตลาดโลกเป็นสำคัญ
ควรให้ชุมชนท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการการใช้น้ำในพื้นที่นั้นๆ
3. ถึงเวลาต้องมุ่งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวอย่างจริงจัง
ในความเป็นจริง รัฐต้องเลิกแทรกแซงการตลาดข้าว ด้วยนโยบายทำนองจำนำข้าวแบบ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” โดยรัฐเอาเงินเข้าไปรับซื้อข้าวจากชาวนามาเก็บไว้ เปิดทางให้เกิดการทุจริตโกงกิน แล้วไม่สามารถยกระดับราคาข้าวได้อย่างแท้จริง เพราะหากไทยเก็บข้าวไว้ในโกดัง ตลาดโลกก็จะซื้อข้าวจากประเทศผู้ผลิตอื่นๆ
การเอาเงินแผ่นดินไปเล่นกับราคาข้าวแบบนี้ จึงไม่ต่างกับการเล่นลิเก
ใช้วิธีการประกันรายได้ชาวนา หรือแจกเงินให้ชาวนาไปเลย ยังดีกว่า
หนทางรอดในตลาดข้าวยุคใหม่ คือ เราจะต้องลดต้นทุนผลผลิตต่อหน่วย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมทั้งระบบ ซึ่งการจัดการน้ำให้เพียงพอแก่การผลิต จะทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง โดยนอกจากน้ำแล้ว ภาครัฐยังควรต้องเดินหน้าพัฒนาเรื่องดิน และการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการผลิตอย่างจริงจังต่อไปด้วย
ปัจจุบัน เรามีเทคโนโลยีก้าวหน้า ระบบภาพดาวเทียม ระบบดิจิตอล ที่สามารถรู้ได้เลยว่า สภาพดิน ณ จุดใด ขาดแคลรสารแร่ธาตุประเภทใด เหมาะกับการเพาะปลูกอะไร อย่างไร สามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาการเกษตรในแต่ละจุดได้เลย ขณะเดียวกัน รัฐก็ควรเข้าไปสนับสนุนส่งเสริมการปรับระดับลาดเอียงของที่ดินการเกษตร เพื่อให้แปลงนาได้ระดับเหมาะสม มิใช่ปล่อยน้ำเข้าไปแล้วลาดเทไปรวมอยู่เฉพาะมุมหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ยังจะช่วยให้สามารถทำนาแปลงใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย โดยสามารถนำเครื่องจักรเข้ามาสนับสนุนการผลิตทุกขั้นตอน ทั้งการไถนา ดำนา เกี่ยวข้าว ฯลฯ นาแปลงใหญ่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตภาพรวมได้มาก จากการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) ทั้งประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
นอกจากการบริหารจัดการน้ำเข้าสู่แปลงนาอย่างเพียงพอแล้ว การใช้เทคโนโลยีพัฒนาเมล็ดพันธุ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ก็เป็นสิ่งที่ภาครัฐจะต้องมีบทบาทเป็นสำคัญ นอกจากรักษาความเป็นผู้นำในตลาดข้าวแล้ว ยังต้องเจาะตลาดผู้บริโภคข้าวยุคใหม่ ตลาดบน ซึ่งมีกำลังซื้อสูงมาก ไม่ใช่ต้องการแค่ “กินอิ่ม” เท่านั้น แต่จะต้อง “กินอร่อย ปลอดภัย และสุขภาพดี” ด้วย
นั่นคือ กินอร่อย (Tasty) ปลอดภัย (Safety) และเสริมสุขภาพ (Healthy)
สรุป
ผมเห็นด้วยกับแนวคิดการจัดเก็บค่าใช้น้ำ แต่จะต้องสร้างระบบบริหารจัดการเพื่อให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรน้ำที่คุ้มค่า ยั่งยืน ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของในการจัดการน้ำ และนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนผลผลิตต่อหน่วย
ส่วนภาครัฐ ก็ควรเดินหน้าส่งเสริมการพัฒนาการผลิตอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเรื่องน้ำ ดิน เมล็ดพันธุ์ ฯลฯ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยเลิกเล่นลิเกผ่านการตลาดฉาบฉวย เกษตรไทยจึงจะเข้มแข็ง และเผชิญกับการแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมั่นคง
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี