ซาอุดีอาระเบีย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถิ่นกำเนิดของศาสนาอิสลาม เป็นประเทศอาหรับมุสลิมประเทศสุดท้ายที่อนุญาตให้สตรีซาอุดีอาระเบียขับรถยนต์ได้ โดยเพิ่งประกาศไปเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคม 2561
โดยก่อนหน้านี้เล็กน้อย ก็ได้อนุญาตให้สตรีซาอุดีอาระเบียมีสิทธิ์เล่นกีฬาที่โรงเรียน และในสนามกีฬาสาธารณะได้ รวมทั้งสามารถเข้าไปร่วมกิจกรรม เช่น ไปฟังคอนเสิร์ตในสนามกีฬาได้อีกด้วย
นอกจากนั้นในสภาที่ปรึกษาด้านศาสนกิจ (Shura Council) ก็มีการเปิดที่นั่ง 2 ที่ให้กับสุภาพสตรี
ทั้งหมดนี้ก็เป็นผลพวงผสมผสานจากการรณรงค์เพื่อสิทธิสตรีของสตรีชาวซาอุดีอาระเบียทั้งที่เป็นนักเคลื่อนไหว รณรงค์เรียกร้องสตรีเท่าเทียมกับเพศชาย บวกกับวิสัยทัศน์ของเจ้าผู้ปกครองรุ่นใหม่ ที่ประสงค์จะเปลี่ยนแปลง สร้างความเป็นสังคมสมัยใหม่ หรือทันสมัย (Modern) ให้กับซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นการสะท้อนว่า ซาอุดีอาระเบียนั้น กำลังเดินหน้าปรับตัวเข้ากับโลกกว้าง และในอีกด้านหนึ่ง พลังอำนาจและอิทธิพลของพวกอนุรักษ์นิยมในอดีต ที่มุ่งจำกัดจำเขี่ยสตรี ผ่านทางข้อกำหนดทางขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม หรือการตีความคำสั่งสอนได้เริ่มอ่อนแอลงในสังคม และไม่สามารถต้านทานกระแสการเปลี่ยนแปลงได้
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการผ่อนปรนมากขึ้น แต่สิทธิเสรีภาพของสตรีชาวซาอุดีอาระเบียก็ยังคงมีข้อจำกัดอยู่อีกมากมาย ภายใต้หลักการต้องมีผู้ดูแล (Guardianship) ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติต่อสตรีว่า ไม่ว่าจะขอหนังสือเดินทาง จะขอแต่งงาน หรือจะขอเดินทาง ก็ต้องได้รับอนุญาตจากครอบครัว หรือสามี โดยจะไปไหนมาไหนคนเดียวมิได้ จะต้องมีผู้คุ้มกัน หรือผู้ติดตามไปด้วยเสมอ นอกเหนือจากการที่จะต้องแต่งตัวตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการปกคลุมตัวและศีรษะอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน
ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายเจ้าผู้ปกครองและผู้นำทางศาสนาจะต้องร่วมกันพิจารณาหาข้อสมดุลกันต่อไป เพื่อเสริมสร้างความทัดเทียมเพศหญิงให้เท่าเทียมกับเพศชาย โดยเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งฝ่ายนักเคลื่อนไหวก็คงต้องรณรงค์สิทธิสตรีกันต่อไป
และผลของการเปิดให้สตรีขับรถยนต์เองได้นั้นจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจแท็กซี่ 800,000 คัน อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งพนักงานคนขับที่เป็นแรงงานต่างชาติคงจะต้องปรับตัวหางานทำใหม่ แต่ในทางกลับกันครอบครัวของสตรีชาวซาอุดีอาระเบียก็จะสามารถประหยัดค่ารถแท็กซี่ลงไปได้ (เฉลี่ยแล้วตกประมาณ 30,000 บาทต่อคนต่อปี) และภาพกว้างก็ช่วยประหยัดไปด้วยในสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันต่ำลง รายได้เข้าประเทศซาอุดีอาระเบียลดน้อย งบประมาณเพื่อประชาชนก็ต้องตัดทอนลง ดังนั้น หากสามารถส่งผลให้ประชาชนประหยัดเงินตนเองด้วย ก็จะเป็นการดีในภาพรวม
ข้ามไปอีกฟากของโลกอาหรับมุสลิม ทางตอนเหนือของแอฟริกา ก็มีข้อดีต่อสตรีชาวตูนิเซียที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งต่อจากนี้ไปสามารถที่จะแต่งงานกับคนนอกรีต หรือผู้นับถือศาสนาอื่นๆ ได้โดยกฎหมายรองรับ ซึ่งก็เป็นเรื่องการเพิ่มขยายสิทธิสตรีอีกอย่างหนึ่ง และเป็นการสะท้อนว่าหากปล่อยให้ขนบธรรมเนียมประเพณีเข้ามาครอบงำคำสั่งสอนของศาสนา ก็อาจก่อให้เกิดความสับสนว่า เรื่องใดเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องใดเป็นเรื่องข้อบังคับของศาสนา ก็เป็นไปได้ว่าการตัดสินใจของรัฐสภาตูนิเซียนั้น อยู่บนพื้นฐานที่ว่า ศาสนามิได้ห้ามมิให้มีการแต่งงานกับคนนอกศาสนา ส่วนเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ก็เป็นที่แน่นอนว่า ทุกศาสนาก็ควรจะทบทวนตนเองว่า คำสั่งสอนที่แท้จริงคืออะไร ที่มาที่ไปของขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกิดขึ้นนั้นมาจากไหน สิ่งใดไม่ไปกันกับยุคสมัยก็ควรได้หาหนทางปรับปรุง เพื่อให้การดำรงชีวิตของผู้นับถือศาสนา สามารถอยู่ร่วมได้ระหว่างความเชื่อและโลกแวดล้อม โดยต้องหาทางออกในการทิ้งสิ่งเจือปนออกไปได้อย่างไร ซึ่งไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ ก็ต้องขออนุญาตแสดงความยินดีกับสตรีซาอุดีอาระเบียและตูนิเซียไว้ด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี