ภาพที่มีคนนอกวงการเมืองอาสาตนเข้ามาปราบปรามการทุจริตฉ้อฉลของนักการเมืองรุ่นเดิม แต่แล้วกลับใช้ความนิยมที่ปลุกปั่นมาได้ บวกกับอำนาจรัฐที่มีในมือในการแสวงหาประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้องเสียเอง เป็นปรากฏการณ์ใหม่มากสำหรับสหรัฐอเมริกา ขนาดที่นักวิชาการและวิเคราะห์การเมืองอเมริกันหัวหมุน งงไปตามๆกัน แต่ภาพนี้กลับเป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับคนในหลายๆประเทศรวมถึงประเทศไทย ที่สหรัฐเองเคยพยายามสั่งสอนการเมืองการปกครองผ่านวิธีต่างๆทั้งทางการทูตและกดดันทางการค้า
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในวันนี้เหล่านักวิชาการอเมริกันจึงยอมเปลี่ยนบทบาทจากผู้แนะนำประเทศอื่น มาเป็นผู้รับฟังเพื่อเรียนรู้บทเรียนจากผู้มีประสบการณ์แล้วบ้าง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญไปร่วมงานสัมมนาเรื่องการพัฒนาการเมืองและป้องกันคอร์รัปชัน ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ในฐานะอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิจัยในโครงการวิจัยและประสานงานเพื่อสังคมไทยไร้คอร์รัปชัน โดยความสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
งานสัมมนาวิชาการนี้มีชื่อเต็มๆว่า Populist Plutocrats: Lessons from around the World ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คือ บทเรียนจากทั่วโลกในเรื่องอำนาจจากประชานิยม โดยผู้เป็นประธานจัดงานคือ ศาสตราจารย์แมทธิว สตีเฟนสัน ผู้เขียนงานวิจัยด้านกฎหมายและเศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่องการคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง เขาเองยังมีห้องทดลองทางสังคมในด้านคอร์รัปชันชื่อ Global Anti-Corruption Lab ที่ให้นักศึกษาฮาร์วาร์ดเข้าร่วมเรียนและคิดงานวิจัยเพื่อช่วยแก้ปัญหาคอร์รัปชันอีกด้วย
เหล่าผู้มีประสบการณ์ที่ฮาร์วาร์ดเชิญมาให้บทเรียนในครั้งนี้ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญเรื่องอิตาลีสมัยเบลุสโคนี ฟิลิปปินส์สมัยเอสตราดาจนถึงดูตาเต้ในปัจจุบัน เปรูสมัยฟูจิโมริ แอฟริกาใต้สมัยซูมา และที่สำคัญคือไทยสมัยทักษิณ ชินวัตรข้อสังเกตที่น่าสนใจในการเลือกตัวอย่างเหล่านี้มาคือ แม้ว่าแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งบุคลิกและการเข้าสู่อำนาจ แต่กลับมีลักษณะการใช้ความนิยมและอำนาจรัฐเหมือนกัน ซึ่งนำไปสู่ความขาดเสถียรภาพทางการเมืองคล้ายๆกัน ที่สำคัญฝ่ายตรงข้ามของผู้นำเหล่านี้ก็ถูกมองว่า มีลักษณะเหมือนกันอีก ทั้งความไม่สามารถเข้าถึงความต้องการของประชาชนได้จริงและมักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของการเมืองแบบเดิมๆที่น่ารังเกียจ
ในตอนท้าย ศ.สตีเฟนสัน ได้สรุปบทเรียนจากการสัมมนาครั้งนี้ไว้อย่างน่าสนใจ 4 ประการ คือ หนึ่ง ไม่ควรตีตราให้ผู้นำเหล่านี้เป็นปีศาจเพราะนั่นเป็นการสร้างความเกลียดชังและแตกแยกในสังคม แต่ก็ต้องไม่ยอมรับพฤติกรรมแบบนี้ให้เป็นบรรทัดฐานของสังคมการเมือง สอง ความจริงแล้วประชาชนทั่วไปอาจไม่ได้สนใจนโยบายเป็นหลัก แต่ให้ความสำคัญกับลักษณะทางวัฒนธรรมที่ผู้นำเหล่านี้เป็นตัวแทน ดังนั้นต่อให้นโยบายจะไม่เข้าท่า แต่ถ้าคนเลือกตั้งรู้สึกว่าเขาเป็นพวกเดียวกันแล้ว ก็จะเลือกอยู่ดี สาม ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะเหล่าหัวก้าวหน้าต้องทบทวนการพูดและวิจารณ์การเมืองในแง่ลบ เพราะสุดท้ายมันกลับช่วยส่งเสริมผู้นำเหล่านี้ให้ถูกมองว่าเป็นพระเอกนางเอกเข้ามาปราบการทุจริตในการเมืองที่เน่าเฟะ และ สี่ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยต้องรู้ว่ากระบวนการต่อต้านผู้นำเหล่านี้หลายวิธีมีข้อจำกัดและอาจมาแว้งกัดผู้ต่อต้านได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลไกทางกฎหมายหรือการปลุกระดมมวลชน เพราะภาพที่ออกมาอาจจะไม่ใช่การที่ผู้นำเหล่านี้ถูกพิสูจน์ว่าเป็นผู้ร้าย แต่กลับกลายเป็นคนดีที่ถูกกลั่นแกล้งโดยระบบที่ทุจริตไปได้ง่ายๆ
สำหรับบทวิเคราะห์บทเรียนเหล่านี้ ผมขอแนะนำให้ไปอ่านต่อในบทความไทยบัพบลิก้าของอาจารย์อาร์ม ตั้งนิรันดร เรื่อง “วิธีมองทรัมป์”ซึ่งอาจารย์ได้สนทนาต่อกับผมหลังการสัมมนาครั้งนี้อย่างลุ่มลึก และได้เอื้อเฟื้อห้องให้ผมพักอาศัยระหว่างงานประชุมนี้ด้วยครับ
ทีนี้เมื่อเรามองทรัมป์และผู้นำทั่วโลกที่มีลักษณะคล้ายๆกันอย่างมีระเบียบวิธีแล้ว เราได้บทเรียนอะไรเพื่อหันกลับมาดูและพัฒนาการเมืองไทย โดยเฉพาะด้านการต่อต้านคอร์รัปชันบ้าง ข้อแรกนั้นได้มาจากบทสรุปหลักของงานสัมมนานี้เลย นั่นคือต้องป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีลักษณะอำนาจนิยมผ่านประชานิยมอย่างไม่ยั่งยืนเข้ามากุมอำนาจรัฐเป็นผู้นำประเทศได้ วิธีการก็คือบทเรียนทั้ง 4 ข้อที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น ส่วนในทางปฏิบัติต้องทำอย่างไร ก็ต้องถอดบทเรียนนี้มาประยุกต์กับสภาพจริงของประเทศในเวลานั้นๆ
ข้อที่สอง ได้มาจากผู้ร่วมเสวนาท่านหนึ่งในช่วงสุดท้าย นั่นคือ ศาสตราจาร์โฮเซ อูกาส ประธานองค์กรเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศ (Transparency International: TI)ที่เป็นผู้สร้าง ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index: CPI)ที่คนไทยต่างรอคอยการประกาศอย่างตื่นเต้นในทุกๆ ปีนั่นเอง
ศ.อูกาสเล่าเหตุการณ์ที่เขาเคยไปมีส่วนร่วมในการสืบสวนคดีทุจริตของอดีตประธานาธิบดีฟูจิโมริแห่งเปรู ว่าด้วยความกล้าหาญของเจ้าหน้าที่รัฐของเปรูหลายคน ทำให้ทีมของเขาสามารถเอาผิดประธานาธิบดีได้ และโค่นล้มวงจรทุจริตที่ประกอบด้วยประธานศาลสูงสุด ประธานรัฐสภา และนายพลอีกถึง 14 คน นี่จึงกลายมาเป็นวิธีหนึ่งที่เขาเรียกว่าเป็น“สินค้าส่งออก”จากทวีปอเมริกาใต้ คือ การส่งเสริมและสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีทุจริตมีอิสระและความกล้าหาญในการต่อสู้กับคนโกงที่มีอิทธิพล
อีกวิธีหนึ่ง ศ.อูกาส ยกตัวอย่างประเทศกัวเตมาลาที่มีการทุจริตกันมหาศาลจนถึงขั้นกลายเป็นรัฐล้มเหลว (Failed State) ทำให้นานาชาติต้องรวมตัวกันจัดทีมมาช่วยเหลือ ส่งทีมสืบสวนทุจริตจากต่างชาติมาทั้งทีม ล้างบางคนโกงกันหมดรัฐบาลโดยคนนอก ผมเองก็หวังว่าประเทศไทยจะไม่ต้องถึงขั้นนี้นะครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมสนใจและได้ถามไปคือ วิธีการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการแก้ไขคอร์รัปชันจากบนลงล่าง นั่นคือการใช้อำนาจรัฐในการสืบสวนคดีทุจริตและจับคนโกงเข้าคุก แต่ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆอีกนานเท่าไหร่จึงจะจับได้หมด และมันยั่งยืนจริงหรือ การต่อต้านคอร์รัปชันที่ยั่งยืนควรเป็นการต่อสู้จากล่างขึ้นบนคือมีประชาชนเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ซึ่ง ศ.อูกาส ก็ตอบมาว่าถูกต้อง และนั่นคือสิ่งที่ TI พยายามทำและสนับสนุนให้ทุกประเทศทำมาโดยตลอด
เมื่อได้มีโอกาสมาร่วมสัมมนาที่มีผู้เชี่ยวชาญมาร่วมมากมายชนาดนี้ ผมจึงถือโอกาสสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆและมหาวิทยาลัยที่มีความก้าวหน้าทางวิชาการระดับโลก เพื่อมาช่วยพัฒนาการต่อสู้คอร์รัปชันในไทย ทั้งการแบ่งปันองค์ความรู้ ข้อมูล เครื่องมือ และทรัพยากรเพื่อการวิจัย รวมไปถึงการทำงานวิจัยร่วมในเรื่องคอร์รัปชัน การศึกษาวิธีการสร้างข้อเสนอแนะทางนโยบายที่ไปใช้ได้จริงในหน่วยงานระดับท้องถิ่นและระดับชาติ จากหน่วยงานที่ทำสำเร็จมาแล้ว การร่วมวิเคราะห์และพัฒนาโครงการภาคพลเมืองและเอกชนกับอาจารย์และนักวิจัยในมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น การพัฒนาข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน การบริหารจัดการข้อมูลการรับบริการจากภาครัฐ และการส่งเสริมความร่วมมือจากภาคการเงิน ทั้งหมดนี้ได้เริ่มเกิดความร่วมมือในเบื้องต้นแล้ว และคงจะได้เห็นความร่วมมือที่ยั่งยืนมากขึ้นในต้นปีหน้าครับ
สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้การมาสัมมนาครั้งนี้คือ ไม่มีประเทศไหนที่เก่งและดีไปในทุกๆด้าน ขนาดสหรัฐอเมริกาที่มีการพัฒนาทางการเมืองและประชาธิปไตยที่ก้าวหน้ามาก ก็ยังประสบปัญหาจากผู้นำ จนต้องส่งเทียบเชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศที่เคยไปสั่งสอนเขามาก่อนเลย วันนี้ที่ไทยเองถึงแม้จะสร้างงานวิจัยและผลักดันโครงการเพื่อต่อต้านคอร์รัปชันต่างๆออกมามาก ก็จะนิ่งนอนใจรอผลในอนาคตไม่ได้ จะต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และวิธีที่ทำได้ง่ายและเร็วคือการร่วมมือกับคนอื่น โดยเฉพาะการร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นปัญหาของทุกประเทศร่วมกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี