กว่า 85 ปีมาแล้วที่คนไทยกลุ่มหนึ่งได้ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบคณาธิปไตย แต่พยายามอ้างกับประชาชนในขณะนั้นว่า เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งหมายถึงเป็นการปกครองโดยประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง โดยผ่านองค์กรซึ่งเป็นตัวแทนที่เรียกว่า สภาผู้แทนราษฎร องค์กรดังกล่าวนี้มีอำนาจหน้าที่บริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชน
แต่ในความเป็นจริง สังคมไทยไม่เคยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเลย เพราะตัวแทนที่ประชาชนเลือกเป็นตัวแทน ไม่ได้เกิดจากการเลือกของประชาชนที่แท้จริง หรือมีบ้างก็เป็นส่วนน้อย
ในองค์กรที่มีอำนาจบริหารส่วนใหญ่เกิดจากอำนาจนิยม ซึ่งหมายถึง อำนาจเงินตราบ้าง หรืออำนาจของลัทธิเจ้าขุนมูลนายที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องจากการปกครองระบอบอำมาตยาธิปไตย
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุว่า ประชาชนโดยทั่วไปไม่ได้รับการพัฒนาให้มีจิตและวิญญาณแห่งประชาธิปไตยที่แท้จริงเลย
กล่าวคือ เมื่อคณะราษฎรทำการปฏิวัติเมื่อ พ.ศ. 2475 ก็เป็นเพียงเปลี่ยนคณะผู้ปกครองจากพระมหากษัตริย์กับอำมาตย์ มาเป็นประชาชนที่เป็นทหารและพลเรือนผู้ยึดอำนาจ โดยผลัดเปลี่ยนกันทำการปฏิวัติในระหว่างคณะผู้ปกครองกันเอง จนกระทั่งเกิดขบวนการนิสิต นักศึกษา และประชาชน รวมตัวกันต่อต้านรัฐบาลเผด็จการเมื่อเดือนตุลาคม 2516 จนสามารถโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการเป็นผลสำเร็จ เกิดรัฐบาลที่อาจเรียกได้ว่า เกิดจากการสนับสนุนของประชาชน แต่ต่อมาก็มีการปฏิวัติรัฐประหารเป็นระยะๆ
และสุดท้ายเกิดรัฐบาลพลเรือนที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลชุดนี้ (ก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติซึ่งนำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก กับคณะทหารทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากรัฐบาล) อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริงการได้มาซึ่งอำนาจของพวกเขาเกิดจากการซื้อสิทธิขายเสียงจนกล่าวได้ว่าได้เป็นรัฐบาลด้วยการใช้เงินตราเป็นอาวุธ
คณะรักษาความสงบแห่งชาติภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้บริหารประเทศตลอดจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 3 ปี แต่สังคมไทยก็ยังคงเป็นสังคมแบบดั้งเดิมมิได้เปลี่ยนแปลง ความพยายามของบุคคลกลุ่มที่เรียกร้องให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามอย่างประเทศตะวันตก โดยมิได้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนส่วนใหญ่ให้สอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงเลย จะเห็นได้จากการที่ยังเกรงกลัวต่ออำนาจของผู้มีตำแหน่งหน้าที่ทั้งการเมืองและประจำ เช่น ตำรวจ แทนที่จะเกรงกลังกฎหมาย หรือกติกาสังคมทั่วไปยังเกรงกลัวต่ออำนาจบุคคลและเงินตรามากกว่ากฎกติกา
ฉะนั้นตราบใดที่สังคมยังมีการแบ่งเป็นสังคมชนชั้นในองค์กรทั้งของรัฐและเอกชนที่ยังดำรงอยู่ ได้แก่ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่กับผู้น้อยก็ดี ในวงการธุรกิจก็เช่นกันได้แก่ เจ้าของธุรกิจหรือผู้มีตำแหน่งในกิจการ (นายจ้างกับลูกจ้าง) ในสังคมปัจจุบันเฉกเช่นลัทธิเจ้าขุนมูลนายยังคงดำรงอยู่ ตราบนั้นสังคมไม่มีวันเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงสำเร็จ
สรุปรวมความว่า ถ้ารากฐานของสังคมยังไม่เปลี่ยนแปลงจากสังคมอมาตยาธิปไตย สังคมไทยไม่มีวันที่จะเป็นสังคมประชาธิปไตยได้สำเร็จ จะเป็นอย่างมากก็เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบตามที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวไว้เท่านั้น เว้นแต่จะต้องเปลี่ยนแปลงรากฐานของสังคมใหม่ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนในสังคม ให้เป็นประชาธิปไตยที่เป็นสากล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี