อีก 8 วันก็จะครบ 1 ปี แห่งการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของคนไทย
ในตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี ที่ทรงทำทุกอย่าง เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยหกสิบกว่าล้านคนอยู่ดีกินดี อันที่จริงก่อนจะถึงวันนี้ มีใครรู้หรือเคยนึกย้อนไปบ้างหรือไม่ว่า พระองค์ต้องลำบากพระวรกาย ต้องสละพระราชทานทรัพย์ แล้วต้องเสียพระเสโทไปมากเพียงใด? หากมองบทบาทและภาระของสถาบันฯในวันนี้ หลายคนที่ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ก็คงไม่ทราบว่าพระองค์ต้องเผชิญกับอุปสรรคอะไรบ้างในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองและของโลก?
ทั้งนี้เป็นที่รู้กันดีว่าในช่วงที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 นั้นเป็นห้วงเวลาเดียวกับที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านเหตุการณ์สำคัญมา ซึ่งพระองค์ทรงต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงหลายประการจากทั้งปัญหาภายในและภายนอกประเทศที่คอยบั่นทอนแรงพระราชหฤทัยหลายครั้ง ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ทูลถามพระองค์ว่าทรงท้อถอยบ้างหรือไม่? ซึ่งพระองค์มีพระราชกระแสรับสั่งความว่า “...ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ…”
12 ปี ๓ รัชกาล และความวุ่นวายในช่วงเปลี่ยนผ่าน
นับตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ. 2477-2489 หรือราว 12 ปีในช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ยังทรงพระเยาว์ ประเทศไทยมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินถึง ๓ รัชกาล เริ่มจากรัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติเมื่อปีพ.ศ.2477 ภายหลังจากที่กลุ่มคณะราษฎรปฏิวัติเพียง 2 ปี(พ.ศ.2475) ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรว่า“...ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร์”
แต่ในความเป็นจริงเชิงประวัติศาสตร์ก็ไม่อาจเป็นเช่นนั้น และแม้ต่อมาจะมีการกราบบังคมทูลอัญเชิญรัชกาลที่ ๘ เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อในปี พ.ศ.2477 แต่ขณะนั้นทั้งรัชกาลที่ ๘ และรัชกาลที่ ๙ ต่างยังทรงพระเยาว์ที่จะรับพระราชภาระที่หนักเพียงนี้ ซึ่งรวมถึงความเปลี่ยนแปลงและความผันผวนทางการเมืองโลก นั่นคือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกทั้งช่วงนั้นประเทศไทยก็เพิ่งเปลี่ยนผ่านการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้เพียงไม่กี่ปี นับเป็นช่วงที่ประเทศเพิ่งตั้งไข่ในการปกครองรูปแบบใหม่ ซึ่งคณะรัฐบาลจากคณะราษฎรเข้ามามีบทบาทสำคัญจัดการปกครองของประเทศ สถาบันฯ จึงถูกมองเป็นเรื่องไกลตัวประชาชน ท่ามกลางกระแสข่าวว่ากลุ่มคณะราษฎรแตกออกเป็นฝ่ายต่างๆ จนทำให้ประเทศวุ่นวาย ประกอบกับความยากลำบากด้านเศรษฐกิจอันเป็นผลจากสงครามโลก และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ประเทศไทยจึงอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างระส่ำระสาย ประชาชนขาดที่พึ่งทางจิตใจ และประเทศขาดศูนย์รวมของชาติ จนนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของประเทศอย่างแท้จริง
ผลพวงของการเสด็จขึ้นครองราชย์
แม้หลังการสวรรคตของในหลวง รัชกาลที่ ๘ จะมีการกราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อในปีพ.ศ.2489 จนกลายเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมหัวใจพสกนิกร และทำให้ประเทศยังมีศูนย์รวมจิตใจที่เดินหน้าต่อไปได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วพระองค์ทรงต้องประสบกับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เริ่มแต่ต้องตัดสินพระทัยเปลี่ยนไปศึกษาต่อด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ แทนวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่พระองค์ทรงชื่นชอบและศึกษาก่อนหน้า เพื่อเตรียมนำองค์ความรู้มาปกครองประเทศไทยต่อไปในฐานะพระมหากษัตริย์
- อย่างไรก็ดีการเสด็จฯทรงศึกษาต่อของพระองค์ครั้งนี้ ยังส่งผลให้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนพระอาการสาหัสและพระเนตรขวาไม่สามารถทอดพระเนตรได้อีกต่อไป ความเปลี่ยนแปลงส่วนพระองค์ดังกล่าวส่งผลให้พระองค์ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการทรงงานและกิจวัตรประจำวันมากยิ่งขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ และเมื่อทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโลซานแล้ว พระองค์เสด็จนิวัตพระนครทันทีในปีพ.ศ.2493
เสด็จนิวัตกลับพระนคร สานต่อพระราชภารกิจ
เมื่อเสด็จนิวัตกลับพระนครในปีพ.ศ. 2493 ต้องทรงเผชิญกับการปรับพระองค์ครั้งใหญ่จากระบอบการปกครองของประเทศที่เว้นว่างจากการที่ไม่มีสถาบันฯอยู่ใกล้ชิดประชาชนมานานหลายปี พระองค์ต้องทรงสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลขณะนั้นในการแก้ไขปัญหาของประชาชนในประเทศจากปัญหาต่างๆ ทั้งประเด็นความยากจน ความมั่นคงทางชายแดน และการกอบกู้สถานะประเทศไทยในยุคหลังสงครามโลกต่อเนื่องมาถึงสงครามเย็น เรื่อยมาถึงการรับมือกับภัยคอมมิวนิสต์
อีกหนึ่งพระราชภารกิจที่สำคัญในช่วงต้นรัชกาลคือ การสร้างสถานะของประเทศไทยให้ได้รับการยอมรับในเวทีโลก ที่ทรงต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงย่อท้อและเสด็จพระราชดำเนินทรงเยือนประเทศต่างๆเพื่อเจริญพระราชไมตรี เพื่อให้นานาประเทศได้รู้จักและเข้าใจประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มบทบาทประเทศไทยในเวทีโลกในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ดีปัญหาสำคัญที่สุดที่พระองค์ต้องทรงต่อสู้ กลับเป็นปัญหาความยากจนและความยากลำบากของพสกนิกรในประเทศไทย โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดารที่แม้รัฐบาลยุคนั้นก็ยังเข้าไปไม่ถึง แต่พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินให้ถึงทั่วทุกพื้นที่ เพื่อเข้าใจปัญหาที่แท้จริงของพสกนิกรที่อยู่ในที่ต่างๆ ที่แตกต่างกัน
การเสด็จพระราชดำเนินยังพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทยเพื่อทรงงานและทรงเยี่ยมพสกนิกร มิได้ราบรื่นนัก เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณจากรัฐบาลในขณะนั้น ทำให้การปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่ต่างๆ เป็นไปด้วยความยากลำบาก ในช่วงแรกการเสด็จพระราชดำเนินจึงจำกัดอยู่เฉพาะบางจังหวัดในภาคกลางเท่านั้น เช่นเดียวกับการก่อเกิดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริส่วนพระองค์ในระยะแรกก็ประสบปัญหาทำนองเดียวกันคือ ขาดแคลนเครื่องมือ ทรัพยากรและเงินทุน โดยทั้งการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมพสกนิกรและทรงงาน รวมทั้งการก่อตั้งโครงการพระราชดำริต่างๆช่วงแรก ทรงต้องใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นเงินทุนทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือพสกนิกร จนระยะหลังโครงการพระราชดำริและการเสด็จพระราชดำเนินที่ต่างๆ จึงได้รับการตอบสนองมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะเริ่มมีคนเข้าใจถึงประโยชน์จากโครงการพระราชดำริฯมากขึ้น นับจากนั้นมาหลายโครงการก็ได้รับการบรรจุเข้าสู่ระบบของหน่วยงานราชการที่รับสนองพระราชดำริ
ตลอด 70 ปีการครองราชย์จนถึง 13 ตุลาคม พ.ศ.2559 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงดูแลพสกนิกรให้อยู่ดีกินดีขึ้นเสมอ ผ่านอย่างน้อย 4,447 โครงการพระราชดำริ โดยเฉพาะโครงการต้นแบบที่ช่วยสร้างชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นอย่างแท้จริง อาทิ โครงการที่เน้นสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ช่วยเหลือเกษตรกร นั่นคือการบริหารจัดการเรื่องน้ำ และการปรับปรุงการเกษตรทั่วทั้งประเทศ แม้มีอุปสรรคสำคัญคือสภาพภูมิประเทศและทัศนคติของประชาชน แต่ไม่ทรงล้มเลิกพระราชปณิธาน และทรงคิดค้นโครงการเพื่อเป็นต้นแบบการประกอบอาชีพควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาจากสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศเสมอมา อาทิ โครงการฝนหลวง และโครงการแก้มลิง เป็นต้น
กว่า 70 ปีที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ บำบัดทุกข์บำรุงสุขพสกนิกรทั่วทั้งประเทศ เสด็จพระราชดำเนินยังจังหวัดต่างๆ ทุกจังหวัด เพื่อเข้าถึงปัญหาที่แท้จริง จนเรียกได้ว่าไม่มีพื้นที่ใดที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไม่ถึง ทำให้ทรงได้รับการเทิดทูน ความรัก และความเคารพจากประชาชนชาวไทยเสมอมา เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นเพียงพระมหากษัตริย์เท่านั้น แต่ยังทรงเป็นพ่อของแผ่นดิน เป็นพ่อของพสกนิกรทุกคนที่ดูแลพสกนิกรประหนึ่งลูกของพระองค์...
“...วิถีชีวิตของคนเรานั้นจะต้องมีทุกข์มีภัย มีอุปสรรคผ่านเข้ามาเนืองๆ ไม่มีผู้ใดจะอยู่เป็นปรกติสุขอย่างเดียวได้ ทุกคนจึงต้องเตรียมกาย เตรียมใจ และเตรียมการไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อเผชิญและป้องกัน แก้ไขความไม่ปรกติเดือดร้อนต่างๆ ด้วยความไม่ประมาท ด้วยเหตุผล ด้วยหลักวิชา และด้วยสามัคคีธรรม...”
ความตอนหนึ่งในพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๕ เมื่อวันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี