ทุกเดือนกันยายนของแต่ละปี หรือต้นเดือนตุลาคมของแต่ละปี ก็จะมีปัญหาวุ่นวายที่ต้องชี้แจงกันเกี่ยวกับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อแก้ไขปัญหาการตื่นตระหนกตกใจกันทุกปี ทำกันอยู่อย่างนี้มาหลายปีเต็มทีแล้ว แม้กระทั่งปีนี้ก็เกิดความสับสนซ้ำอีก และก็ยังชี้แจงกันอยู่ไม่เสร็จ
เป็นเรื่องแปลกมากที่เกิดเรื่องซ้ำซากเช่นนี้ ทั้งๆ ที่สามารถแก้ไขและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าภาพหรือริเริ่มจัดการสะสางแก้ไขปัญหานี้ให้เสร็จสิ้นไป
ดังนั้นเมื่อไหนๆ ก็จะต้องชี้แจงเรื่องอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มกันแล้ว ก็ถือโอกาสนี้นำเสนอความคิดเห็นเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาแบบเดียวกันนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
ก่อนอื่นก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มก่อน ซึ่งมีบทบัญญัติหลักอยู่ในประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นบทบัญญัติหลักในการจัดเก็บภาษีฝ่ายสรรพากรของประเทศไทย และบังคับใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2484
บทบัญญัติหลักในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นระบบที่นำมาใช้เป็นครั้งแรกเมื่อประมาณ 25 ปีกว่ามานี้ได้บัญญัติให้มีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการซื้อสินค้าหรือบริการ พูดง่ายๆ ก็คือจัดเก็บภาษีจากรายจ่ายของประชาชนทุกคน เพิ่มขึ้นจากประเภทการจัดเก็บภาษีเดิมที่จัดเก็บเฉพาะภาษีจากรายได้
ประมวลรัษฎากรบัญญัติให้จัดเก็บในอัตราร้อยละ 10 ของราคาซื้อสินค้าหรือบริการ และมีบทบัญญัติเพื่อการปฏิบัติว่ารัฐสามารถเพิ่มหรือลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มได้โดยการออกประกาศเป็นครั้งคราว
หลังจากระบบภาษีมูลค่าเพิ่มใช้บังคับแล้ว ก็มีการประกาศลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 10 คงเหลือจัดเก็บเพียงร้อยละ 7 แต่มีกำหนดให้ลดอัตราเพียงปีเดียว ดังนั้นพอขึ้นปีงบประมาณใหม่คือวันที่ 1 ตุลาคม จึงต้องมีการออกประกาศให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 7 ต่อไปตามเดิม
ต่อมาเมื่อมีการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นและให้เป็นส่วนหนึ่งในภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย จึงมีการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มและบวกภาษีท้องถิ่นเข้าในจำนวนที่จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น แล้วแบ่งรายได้ภาษีท้องถิ่นที่จัดเก็บนั้นให้แก่ราชการส่วนท้องถิ่น แต่โดยรวมก็คือทั้งภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีท้องถิ่นจะมีจำนวนรวมกัน 7% จึงทำให้ผู้เสียภาษีไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
เพราะผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มก็คงเสียในอัตราร้อยละ 7 เท่าเดิม แล้วเป็นหน้าที่ของทางราชการที่จะไปแบ่งภาษีท้องถิ่นแยกออกไป เพื่อให้เป็นรายได้ของท้องถิ่น
การลดอัตราภาษีดังกล่าวก็คงลดเป็นรายปีเหมือนกัน แต่มีบทบัญญัติในประกาศเพิ่มเติมขึ้นอีกข้อหนึ่งว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ของเดือนตุลาคมปีถัดไป ให้มีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 9 โดยในอัตราร้อยละ 9 นี้ก็ได้รวมอัตราภาษีท้องถิ่นไว้ด้วยแล้ว ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ต้องไปจัดสรรปันแบ่งกันตามเดิม
เพราะเหตุที่บัญญัติวิธีเป็นเช่นนี้ เมื่ออ่านตามประกาศก็จะมีข้อความชัดเจนว่า
ข้อแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมของปี ให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มลงเหลือ 7% ซึ่งในจำนวนนี้ก็คือภาษีมูลค่าเพิ่มที่รวมภาษีท้องถิ่นแล้ว
ข้อสอง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมของปีต่อไป ให้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 9
ดังนั้นเมื่อมีการออกประกาศในแต่ละปี คนทั้งหลายก็เข้าใจเป็นอย่างเดียวกันว่าตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมของปี มีการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% และในวันที่ 1 ตุลาคมของปีต่อไป อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะเป็น 9%
พอออกประกาศแบบนี้คนทั้งหลายซึ่งขี้ลืมก็จะตื่นตระหนกตกใจว่าในปีหน้ารัฐบาลท่านจะเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 9% จึงเดือดร้อนให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจงกันจ้าละหวั่น กว่าจะคลายความสับสนอลหม่านได้ก็ต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายไปไม่น้อย แต่ก็ทำซ้ำซากกันอยู่อย่างนี้
ดังนั้นปัญหาความสับสนทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาช้านานแล้วจึงอยู่ที่บัญญัติวิธีหรือวิธีการเขียนกฎหมาย ว่าจะเขียนแบบให้มีปัญหาเช่นนี้อยู่ต่อไปหรือไม่ หรือว่าจะแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
ถ้าจะให้หมดปัญหาก็ต้องจัดรูปแบบการประกาศเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มเสียใหม่ โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป เช่น ในประกาศดังกล่าวในข้อแรกให้ระบุว่า “ให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากรลงเหลืออัตราร้อยละ 7” และข้อต่อไประบุว่า “การลดอัตราภาษีตามประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ของปี ถึงวันที่ 30 กันยายน ของปีถัดไป”
เขียนไว้เท่านี้ก็พอแล้ว เพราะมีบทบัญญัติหลักอยู่ในประมวลรัษฎากรแล้ว ดังนั้นเมื่อก่อนถึงวันที่ 1 ตุลาคม ปีหน้าหากรัฐบาลมีความประสงค์ที่จะดำรงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ในอัตราเดิม ก็ออกประกาศแต่เพียงว่า “ให้ขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มตามประกาศลงวันที่ (ของปีก่อน) ไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน ของปีถัดไป”
เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีความสับสนวุ่นวายเกิดขึ้น หรือในกรณีที่รัฐบาลต้องการจะปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมภาษีท้องถิ่นขึ้นอีกร้อยละ 1 ก็สามารถออกประกาศก่อนวันที่1 ตุลาคม ของปีถัดไปว่าให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มลง และจัดเก็บในอัตราร้อยละ 8 ดังนี้ เป็นต้น
ดูไปแล้วบ้านเมืองของเรานี้ที่เป็นปัญหาวุ่นวายอยู่หลายเรื่องก็เพราะนักกฎหมาย ซึ่งคราวนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับนักกฎหมายที่มีหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมาย หรือที่เรียกว่าบัญญัติวิธี โดยยังไม่ต้องพูดถึงนักกฎหมายประเภทที่รัฐธรรมนูญ 2560 ระบุว่าบิดเบือนการใช้อำนาจจนกฎหมายใช้บังคับไม่ได้ ซึ่งเป็นอีกพวกหนึ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี