การที่สายการบินพาณิชย์ใดก็ตามจะสามารถเปิดเส้นทางบินเข้าไปสู่เมืองใดเมืองหนึ่งในประเทศอื่นๆ ได้ จำเป็นต้องผ่านการเจรจาต่อรองอย่างเข้มข้น และเมื่อทำข้อตกลงร่วมกันได้แล้ว สายการบินก็มักจะไม่ยุติการให้บริการในเส้นทางการบินนั้น ยกเว้นจะประสบปัญหาขั้นวิกฤติจนไม่สามารถเปิดให้บริการอีกต่อไปได้
แต่สำหรับกรณีของการบินไทยที่มีข่าวว่าได้ลดเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปมุมไบ ประเทศอินเดียลง 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยจะมีผลในวันที่ 19 ตุลาคม 2560 กรณีนี้น่าศึกษาว่าอะไรคือมูลเหตุที่ทำให้การบินไทยจำเป็นต้องลดเที่ยวบินในเส้นทางนี้
สำหรับคนที่รู้เบื้องหลังของการเจรจาเปิดเส้นทางการบินระหว่างกรุงเทพฯ-มุมไบ ต่างรู้ดีว่ากว่าจะเปิดเส้นทางการบินนี้ได้สำเร็จต้องใช้เวลาเจรจานานถึง 30 ปี จนปัจจุบันการบินไทยเปิดเที่ยวบินเส้นทางนี้ 10 เที่ยวต่อสัปดาห์ โดยใช้เครื่องบินแบบ B777
เปรียบเทียบกับสายการบินสิงคโปร์ที่บินให้บริการในเส้นทางสิงคโปร์-มุมไบ วันละ 2 เที่ยว โดยใช้เครื่องบินแบบ A380/350 ส่วนสายการบินคาเธย์แปซิฟิก บินไปมุมไบ
วันละ 2 เที่ยว ใช้เครื่องบินแบบ A380 และ B777
แต่แล้วก็เกิดเรื่องที่น่าตั้งคำถามว่า เหตุใดคณะกรรมการบริษัทการบินไทยจึงมีมติให้การบินไทยลดเที่ยวบินกรุงเทพฯ-มุมไบ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ แล้วให้สายการบินไทยสมายล์บินแทนเที่ยวบินที่ลดลง โดยใช้เครื่องบินแบบ A320
คำสั่งนี้จะมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2560 ซึ่งในช่วงดังกล่าวนั้นเป็นเทศกาลสำคัญอย่างหนึ่งในมุมไบ เพราะเป็นเทศกาลแห่งไฟ หรือเทศกาล Diwali ซึ่งจะมีผู้โดยสารเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งก็น่าแปลกใจมากที่การบินไทยลดเที่ยวบินลงในขณะที่จำนวนผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เกิดคำถามว่า อะไรคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้การบินไทยตัดสินใจได้อย่างน่ากังขาเช่นนี้
อย่าลืมข้อเท็จจริงประการหนึ่งคือ นครมุมไบถือได้ว่าเป็นเมืองธุรกิจระดับโลกแห่งหนึ่ง เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากแห่งหนึ่งของโลก (ประชากรมากกว่า 18 ล้านคน) เป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญแห่งหนึ่งของอินเดียและเอเชีย
จำนวนชั่วโมงการบินระหว่างกรุงเทพ-มุมไบ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 30 นาที ในกรณีที่บินด้วยเครื่องแบบลำตัวกว้าง แต่ถ้าบินให้บริการด้วยเครื่องบินแบบลำตัวแคบ เวลาบินจะเพิ่มขึ้นอีก 15-20 นาที เนื่องจากอัตราความเร็วของการบินต่างกัน
เมื่อพิจารณาถึงการออกแบบภายในห้องโดยสาร (interior design) ของไทยสมายล์ จะพบได้ชัดเจนว่าไทยสมาลย์ไม่ได้ออกแบบภายในห้องโดยสารเพื่อการบินที่ต้องใช้เวลาบินยาวนานถึง 4 ชั่วโมง 30 นาที
ข้อเท็จจริงอีกประการที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ เส้นทางการบินนี้มีการแข่งขันที่สูงมาก ดังนั้นการใช้เครื่องบินที่ไม่เหมาะสมกับการให้บริการกับผู้โดยสาร จึงทำให้บริษัทมีโอกาสไม่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ เพราะผู้โดยสารจะเปรียบเทียบถึงความสะดวกสบายที่ได้รับจากแต่ละสายการบินที่เปิดให้บริการในเส้นทางบินเดียวกัน
ข้อเท็จจริงที่ผู้เดินทางด้วยเครื่องบินเป็นประจำทราบดีคือ เครื่องบินแบบ A320 ของไทยสมายล์ ไม่มีระบบความบันเทิงใดๆ ทั้งสิ้นบนเครื่อง ส่วนห้องน้ำก็มีแค่เพียง 3 ห้อง ในขณะที่เครื่องบรรจุผู้โดยสารได้ 165 คน และเครื่องแบบนี้ก็มีห้องครัว (galley) ขนาดเล็กอยู่ 3 จุด ซึ่งห้องครัวมีเนื้อที่จำกัดมาก ไม่เหมาะกับการให้บริการในเส้นทางบินที่ยาวนานกว่า 4 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเครื่องบินรุ่นดังกล่าวข้างต้น บรรทุกผู้โดยสารจนเต็มลำ ก็จะบรรทุกสินค้า (Cargo) ได้แค่เพียง 4 ตัน เท่านั้น
ในขณะที่เครื่องบินแบบ B777 สามารถบรรทุกสินค้าได้มากถึง 19 ตัน เราต้องไม่ลืมว่าการขนส่งสินค้าคือตัวทำรายได้สำคัญอีกประการหนึ่งของธุรกิจการบิน เพราะสามารถช่วยทำรายได้เสริมให้กับบริษัทได้อีก 25 เปอร์เซ็นต์ต่อเที่ยวบิน
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากข้อมูลเบื้องต้นที่นำเสนอมาแล้ว จึงได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า เครื่องบินแบบ A320 ของไทยสมายล์ไม่เหมาะสมกับการบินให้บริการในเส้นทางกรุงเทพฯ-มุมไบ ด้วยประการทั้งปวง แต่ที่น่าวิตกมากกว่านั้นคือ การใช้เครื่องบินแบบนี้บินให้บริการในเส้นทางหลักที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก ไม่ใช่การส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของการบินไทย แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ การตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมากเช่นนี้จะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อผลประกอบการของการบินไทยในที่สุด
ข้อมูลที่ชัดเจนซึ่งสาธารณชนผู้ติดตามเรื่องราวภายในของการบินไทยและไทยสมายล์ ต่างรับทราบกันเป็นอย่างดีคือ นายวิวัฒน์ ปิยะวิโรจน์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ของสายการบินไทยสมายล์ ในขณะเดียวกันนายวิวัฒน์ยังสวมหมวกในตำแหน่งรักษาการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายพาณิชย์ (รักษาการ DN) ของบริษัทการบินไทยอีกด้วย และสิ่งที่สาธารณชนซึ่งติดตามผลการดำเนินกิจการของทั้งการบินไทยและไทยสมายล์ต่างก็รู้ดีว่าทั้งสองสายการบินนี้ประสบปัญหาขาดทุนมาโดยตลอดในระยะเวลา 3 ปี
แต่ที่มากกว่านั้นคือ มีการวิพากษ์วิจารณ์กันภายในบริษัทการบินไทยและไทยสมายล์ว่า ความเสียหายที่เกิดกับผลประกอบการของบริษัทในครั้งนี้ รวมถึงความเสียหายที่ผ่านๆ มานั้น ผู้ที่ต้องร่วมรับผิดชอบคือคณะกรรมการบริษัททุกคน ขณะเดียวกัน ประชาคมการบินไทยและไทยสมายล์ก็ระบุด้วยว่า เหตุผลที่คณะกรรมการการบินไทยต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายของบริษัท เพราะเป็นผู้แต่งตั้งให้นายวิวัฒน์เข้าทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม บริษัทการบินไทย ควรจะต้องให้คำตอบที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมกับสาธารณชนให้ได้ว่า เพราะเหตุผลอะไรจึงทำให้การบินไทยต้องลดเที่ยวบินกรุงเทพฯ-มุมไบ แล้วให้สายการบินไทยสมายล์บินแทน และควรจะต้องตอบให้กระจ่างว่าการตัดสินใจเช่นนี้จะส่งผลดีอย่างไรต่อผลประกอบการ โดยรวมของบริษัทการบินไทย
แน่นอนว่าเรื่องการลดหรือเพิ่มเที่ยวบินของสายการบินในแต่ละครั้งย่อมต้องอยู่บนฐานคิดสำคัญคือเรื่องกำไรและขาดทุนของบริษัท หากบริษัทการบินไทยมั่นใจและมีเหตุผลที่หนักแน่นประกอบคำอธิบายว่าอะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องตัดสินใจลดเที่ยวบินลง สาธารณชนก็คงจะยินดีรับฟัง
ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่สาธารณชนอาจไม่ทราบมาก่อนคือ เรื่องราวภายในการบินไทย และไทยสมายล์มีความน่าสนใจมาก เพราะมีตัวละครเพียงไม่กี่ตัวที่พัวพันและโยงใยกันไปกันมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการตัดสินใจของบริษัท โดยผลของการตัดสินใจของตัวละครเพียงไม่กี่ตัวนั้น ก็ทำให้สาธารณชนได้ประจักษ์ถึงผลประกอบการของการบินไทยและไทยสมายล์ได้เป็นอย่างดี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี