ล่าสุด นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานกรรมการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดเผยความคืบหน้าการเร่งดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่กระทำความผิด จนส่งผลให้ธนาคารอิสลามเสียหายอย่างรุนแรง กระทั่งต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ แยกหนี้เสีย จำหน่ายหนี้เสีย ฯลฯ
ยืนยันว่า ขณะนี้ได้ลงโทษทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารแล้ว 48 ราย
ในจำนวนนี้ เป็นการลงโทษวินัยร้ายแรง 24 ราย
ส่วนคดีอาญา ได้ส่งรายชื่อผู้กระทำความผิดให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการไต่สวนเอาผิด 22 ราย และยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) อีก 16 ราย
ส่วนคดีแพ่ง สอบสวนเสร็จแล้ว 4 ราย อยู่ระหว่างส่งฟ้องอัยการเพื่อเรียกเงินคืน และกำลังสอบสวนทางแพ่งอยู่อีก 22 ราย
1. ความวิบัติของหนี้เน่าในธนาคารอิสลาม ไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องของการปล่อยกู้อย่างถูกต้องตามระเบียบ กฎเกณฑ์ ตามแนวทางที่ควรจะเป็นของธนาคารอิสลามแล้วกิจการประกอบปัญหา ไม่สามารถชำระหนี้ได้ สุดวิสัยจริงๆ ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
หนี้เสียเกือบทั้งหมดของธนาคารอิสลาม เป็นลูกหนี้ที่ไม่ใช่มุสลิม
หนี้เสียส่วนใหญ่ ก็เกิดกับลูกค้ารายใหญ่ๆ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ไอแบงก์หาตัวผู้ที่กระทำความผิด ทำให้ธนาคารเกิดความเสียหายตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน โดยย้ำว่า จะต้องมีคนรับผิดชอบในเรื่องนี้
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เปิดเผยว่า นายกฯ กำชับเด็ดขาด ให้จัดการกับผู้ทำให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคาร จนหนี้เอ็นพีเอฟมีสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาท และมีผลขาดทุนที่สูงมาก โดยจะแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบวงกว้าง และเป็นภาระงบประมาณน้อยที่สุด
2. ตามแผนปรับโครงสร้างทางการเงิน พบว่า จะมีการโอนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีเอฟ) ที่ไม่ใช่มุสลิม ไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด หรือ IAM กว่า 5 หมื่นล้านบาท, ลดทุนเหลือหุ้นละ 0.01 บาท หรือ 1 สตางค์ ฯลฯ รวมไปถึงการแก้ไขพ.ร.บ.ไอแบงก์ ให้กระทรวงการคลังถือหุ้นเกิน 49% ผ่านการเพิ่มทุน 1.8 หมื่นล้านบาท
จากการตรวจสอบในรายงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ล่าสุด ลงวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมานี้เอง ได้แก่ รายงานการสอบทานข้อมูลทางการเงินฯ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย สำหรับงวดหกเดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 3 มิ.ย.2560 ปรากฏข้อมูลทางการเงินที่น่าสนใจของธนาคารอิสลาม อาทิ
มีสินทรัพย์กว่า 78,586 ล้านบาท
มีเงินรับฝากอยู่กว่า 89,712 ล้านบาท
มีเงินสดอยู่ประมาณ 1,457 ล้านบาท
เกี่ยวกับหนี้เสีย สถานการณ์ล่าสุด พบว่า เบาลงไป เนื่องจากได้โอนหนี้เสียลูกหนี้ที่ไม่ใช่มุสลิมออกไปแล้ว
จะเห็นได้ว่า ณ มิ.ย.2560 ธนาคารอิสลามยังมีหนี้เสียอยู่ 7,427 ล้านบาท
เทียบกับปี 2559 เคยมีหนี้เสียอยู่ถึง 53,728 ล้านบาท
นั่นก็เพราะว่า ได้โอนหนี้เสีย สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ซึ่งไม่ลูกหนี้มุสลิม ออกไปให้ IAM แล้วนั่นเอง
โดยผลการตัดเนื้อร้ายเพื่อรักษาชีวิตในครั้งนี้ เสียหายกว่า 2 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบัน ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไอแบงก์ ก็คือกระทรวงการคลัง ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย
เงินที่จะเอามาเพิ่มทุน ก็เอามาจากเงินหลวงนั่นเอง
3. หากลำดับดูเส้นทางหนี้เน่าของไอแบงก์ เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? และที่ผ่านมา ไอแบงก์มีสภาพปัญหาเป็นอย่างไร? จะพบว่า
เดือนพ.ย. 2555 ยอดหนี้เสีย ประมาณ 24,000 ล้านบาท
เดือนเม.ย. 2556 ยอดหนี้เสีย ประมาณ 38,000 ล้านบาท
ณ สิ้นปี 2557 ยอดหนี้เสียอยู่ในระดับ 47,878 ล้านบาท
ตัวเลขนี้ น่าสงสัยว่าจะมีการหมกเม็ดไว้ด้วยหรือไม่ เพราะถัดจากนั้นแค่สามเดือน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 ก็ปรากฏข่าวออกมาว่า ไอแบงก์มีหนี้เสียอยู่ถึง 57,000 ล้านบาท
น่าสงสัย เพราะการบริหารงานของไอแบงก์ในยุคนั้น เกิดปัญหายุบยับ ขาดธรรมาภิบาล จนขนาดพนักงานนับร้อยคนแต่งดำประท้วง เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2556 ระบุว่าเป็นยุคที่ธนาคารตกต่ำอย่างที่สุด เกิดผลขาดทุนสะสมจำนวนมาก หนี้เสียมหาศาล กระบวนการบริหารจัดการ การแก้ไขปัญหาล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดความเสียหาย
หลังจากนั้น นายธงรบ ด่านอำไพ เข้ามารักษาการผู้จัดการ อยู่ได้เพียง 3 เดือน ก็ต้องลาออกไปในเดือนต.ค. 2556 โดยระบุว่า มีปัญหาภายในธนาคาร ถูกแทรกแซงจากนักการเมืองในรัฐบาลยุคนั้น
นายธงรบ เคยแฉว่า รัฐมนตรีในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ สั่งด้วยวาจาว่า ไม่ต้องทำให้ธนาคารนี้เป็นธนาคารอิสลาม ไม่ต้องปรึกษาที่ปรึกษาทางศาสนาทุกเรื่องก็ได้ หากปรึกษาแล้วมีปัญหา ก็ให้ทำผิดหลักศาสนาได้
มีบุคคลภายนอกของฝ่ายการเมืองเข้ามามีบทบาทควบคุมการวิเคราะห์และอนุมัติสินเชื่อโดยเฉพาะ
เมื่อมีการสอบสวนผู้บริหารเดิม แทนที่รัฐมนตรีขณะนั้นจะเร่งเอาผิด กลับให้ชะลอการสอบสวน
สุดท้าย ปัญหาจึงหมักหมม ลุกลาม เน่าในมาตั้งแต่ครั้งกระโน้น
4. ต้องถามกันตรงๆ ว่า เป็นไปได้หรือ.... ไอแบงก์หนี้เน่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ไม่ได้มาจากลูกหนี้มุสลิม และเป็นการให้สินเชื่อที่ถูกต้องตามหลักการ หลักเกณฑ์ กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องหรือไม่?
มีฝ่ายการเมืองเข้ามาบงการสั่งการหรือไม่?
แต่ถึงเวลานี้ ปรากฏว่า มีการดำเนินการเอาผิดกับคน 48 คน
ใน 48 คนนี้ มีระดับผู้บริหารแค่ไหน?
แล้วงานนี้ ไม่มีนักการเมือง ฝ่ายการเมือง หรือคนที่ฝ่ายการเมืองส่งมา เข้าไปร่วมรับผิดชอบด้วยเลย อย่างนั้นหรือ?
จะมีกรณี “กูพูดไม่ได้” อีกไหม?
พลเอกประยุทธ์ทราบหรือยัง? แล้วมีท่าทีอย่างไรกับการสะสางปัญหาที่สร้างความเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาทเช่นนี้
อย่าลืมว่า อดีตผู้บริหารไอแบงก์ในยุคโน้น ว่ากันว่าสนิทสนมกับอดีตนายกฯ เอามากๆ
หากกรณีไอแบงก์ ไม่ได้สะสางอย่างถึงรากถึงโคน แต่ลูบหน้าปะจมูก จะเป็นกรณีที่สร้างบรรทัดฐานอันเลวร้ายในการบริหารจัดการสถาบันการเงินของรัฐ ว่านักการเมืองสามารถที่จะทำทุกวิถีทางเข้ามากุมอำนาจรัฐ ควบคุมธนาคารของรัฐ แล้วก็ใช้อำนาจแทรกแซงดำเนินการปล่อยให้เกิดสินเชื่อด้อยคุณภาพระดับ 50,000 ล้านบาทก็ได้ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย
โจรงัดตู้เอทีเอ็มหลักแสนบาท ยังถูกตำรวจจับ แล้วโจรใส่สูท ง้างหลักเกณฑ์-งัดกฎหมาย ทำให้ธนาคารเสียหายหลายหมื่นล้านบาท จะปล่อยลอยนวลหรือ?
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี