l 3.โจทก์เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนอย่างไร มีอิสระถูกแทรกแซงสั่งการไหม อย่างไร
มีข้อแตกต่างกันระหว่างโจทก์ที่เป็นเอกชนและโจทก์ที่เป็นของรัฐหรือกึ่งรัฐ โจทก์ที่เป็นเอกชน สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง เมื่อตนเองเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในส่วนของผู้ฟ้องร้อง แต่โจทก์ที่เป็นของรัฐหรือกึ่งรัฐ เช่น รัฐวิสาหกิจ การตัดสินต้องผูกพันกับผลได้ผลเสียรวมของรัฐ แต่ต้องตัดสินใจอย่างถูกต้องบนผลประโยชน์ของส่วนรวมใหญ่ของรัฐอย่างอิสระ และไม่ถูกแทรกแซงทางการเมืองหรือไม่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองหรือรัฐบาลที่มิชอบธรรม
l สำหรับโจทก์ในคดีการชุมนุมของพธม.ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่ศาลฎีกา ไม่รับคำร้องความเป็นธรรมของจำเลย คือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เดิมใช้ชื่อว่า การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย หรือ ทอท.เป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยกระทรวงการคลัง ถือหุ้นร้อยละ 70
3.1 ตามข้อเท็จ “พธม.ไปชุมนุม มิได้ไปยึด” โดยผอ.ทอท. เป็นผู้สั่งปิด(พิภพ ธงไชย)
3.2 กลับไปคิดค่าความสูญเสียทั้งหมดฯมาให้ 13 แกนนำพธม.รับผิดชอบเป็นมูลค่า 522 ล้านบาท และหากสมมุติ พธม.ผิด ก็มิใช่เพียง 13 แกนนำ แต่ยังมีคดี 98 แกนนำพธม.ซึ่งถูกฟ้องอาญาและต่อด้วยแพ่ง ซึ่งหมายความว่า “คดีความเสียหายของทอท.ยังไม่สามารถวินิจฉัย หรือบังคับคดีจาก 13 แกนนำได้
3.3 โจทก์ใช้อำนาจมาฟ้องจำเลยที่ปกป้องผลประโยชน์บ้านเมืองจากรัฐบาลมิชอบธรรม ถูกต้องไหม?? เรื่องใหญ่ระดับนี้ ทางทอท.น่าจะมิกล้าตัดสินใจด้วยตนเอง มีความเป็นไปได้ว่า “จะถูกสั่งการจากรัฐบาล” จะถูกต้องหรือ จะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เพราะ “รัฐบาลสมชายเป็นจำเลยของประชาชน(พธม.)” เรื่องการดำเนินการฟ้องของโจทก์ ต่อประชามหาชนที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เป็นที่ข้องใจถึงความชอบธรรม
l 4.ใครคือจำเลย จำเลยคือใคร บทบาทของทนายและจำเลย ต้องกระจ่างชัด
4.1) จำเลยที่เป็นทางการหรือจำเลยตามกฎหมาย สำหรับคดีนี้ คือ แกนนำพธม. 13 คน ประกอบด้วยอดีต 5 แกนนำพธม.และผู้ประสานงาน (ประกาศยุติบทบาทไปแล้ว) กับ 7 ผู้นำประชาชนซึ่งทั้ง 13 คน จะเป็นผู้รับผลของคดี จากโจทก์ยื่นฟ้องและศาลตัดสิน
4.2) จำเลยจริงๆ คือ ชาวพธม.ที่ร่วมต่อสู้ ทั้งที่ไปร่วมชุมนุมและร่วมสนับสนุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งได้ตัดสินใจร่วมกัน ใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่า “รัฐบาลสมชาย” มิชอบธรรม ดังนั้นอาจกล่าวว่า 13 แกนนำและชาวพธม.เป็นจำเลยในทัศนะของโจทก์และกระบวนการยุติธรรม แต่ “13 แกนนำและชาวพธม.” กลับเป็นคนดีคนกล้าที่น่ายกย่อง ในสายตาของประชาชนที่รักชาติและรัฐธรรมนูญ
ปู่จิ๊บที่เข้าร่วมการต่อสู้มาตั้งแต่ต้น และได้ร่วมคิดร่วมแรงร่วมใจกับประชาชนมาตลอด ถือว่า “ตัวเองเป็นจำเลย” เพราะหากการต่อสู้คดีในกระบวนการยุติธรรมแพ้ ประชาชนและประชาธิปไตยก็แพ้ด้วย
4.3) บทบาทการเป็นจำเลยที่ถูกต้อง เป็นประการใดเล่า
ตามกระบวนการยุติธรรม “จำเลยเป็นผู้ถูกกล่าวหา และที่สำคัญเป็นผู้รับผลแห่งคดีนั้น ไม่ว่าแพ้หรือชนะ “ฉะนั้นจำเลยจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจหลัก และต้องเป็นจำเลยทั้ง 13 คน ที่จะต้องร่วมตัดสินใจร่วมกัน ตั้งแต่เรื่องตั้งทนายหรือถอดถอนทนาย (หากทนายมิได้ทำหน้าที่สมบทบาทและมีการกระทำที่ผิดพลาดใหญ่) การร่วมกัน พิจารณาตัดสินในการต่อสู้ทางคดีว่า จะสู้อย่างไร จะดำเนินการอย่างไร โดยการฟังเสียงประชาชนและจำเลย จะต้องได้ร่วมรับฟังการดำเนินการในศาลโดยตรงในทุกเรื่องและทุกครั้ง การพิจารณาลับหลังจำเลย ไม่ว่าจะมาจากทนายหรือใคร ไม่ถูกต้อง หากเป็นกรณีสำคัญต่อการสู้คดีและทนายความที่ดีที่มีจรรยาบรรณ ก็จะต้องไม่ขอศาลให้พิจารณาลับหลังจำเลย ไม่ว่ากรณีใดๆ คือ “จำเลย ไม่ได้เข้าร่วมในศาล” แต่ทนายเป็นผู้เข้าร่วมแทน ซึ่งเป็นเรื่องมิชอบมิควรอย่างยิ่ง
4.4) สำหรับคดีใหญ่ เช่น คดีประชาธิปไตยนี้ ควรจะมีทนายมากกว่า 1 คน และหากมีมากยิ่งจะเป็นผลดี เพราะทนายทั้งหมดจะได้ร่วมกันคิด และนำเสนอความเห็นให้จำเลยทั้งหมดได้ร่วมพิจารณาและหากทนายบางคนคิดผิดหรือบกพร่อง มิได้ไปฟังศาลหรือไม่ได้แจ้งแก่จำเลยถึงกำหนดเวลาของการยื่นฎีกา จำเลยที่เหลืออยู่ก็จะสามารถทำหน้าที่อย่างถูกต้องได้ เป็นการเติมเต็มของสิทธิการต่อสู้คดี
4.5) ในส่วนของจำเลยด้วยกัน ต้องมีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกัน ต้องได้ร่วมตัดสินใจร่วมกัน ในบางคดีที่มีจำเลยหลายคน ต้องมีการประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาตัดสินใจร่วมกัน มิใช่ให้ใครมากำหนด
4.6) การตั้งกองทุนในการสู้คดี ที่มีประชาชนร่วมบริจาคเงินจำนวนมาก ควรจะต้องมีคณะกรรมการฯดูแล และต้องให้จำเลยทุกคนมีสิทธิที่จะใช้เงินจากกองทุนในการสู้คดีที่เป็นประโยชน์ต่อการสู้คดี และต้องมีการเปิดเผย โปร่งใส แจ้งยอดเงินการใช้จ่ายให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่องทันกาล
4.7) 13 แกนนำ จะต้องเปิดเผยความจริงให้ประชาชนทราบโดยเร็ว ตามหลักรู้อะไรต้องให้ประชาชนรู้ด้วย
l 5.ประชาชนกับประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้เพื่อบ้านเมือง
5.1 ประชาชนที่รักชาติรักประชาธิปไตย เป็นเจ้าของประเทศ ต้องใช้สิทธิต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและบ้านเมือง เมื่อบ้านเมืองมีวิกฤติด้านเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรม โดยเฉพาะทางด้านการเมืองที่มาจากผู้บริหารไม่ชอบธรรม ทั้งเผด็จการทหารหรือเผด็จการจากการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม ประชาชนต้องออกมาต่อสู้เพื่อบ้านเมือง
5.2 อนึ่งประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยที่ผ่านมา จะมีปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง จากผู้นำการต่อสู้ของประชาชนทั้งในเรื่องของแนวทาง ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี จังหวะก้าวขั้นตอน หรือในเรื่องของการใช้อำนาจมิชอบและไม่โปร่งใส ประชาชนต้องมีการติดตามและตรวจสอบผู้นำไปด้วย และผู้นำที่ดีต้องยอมให้ประชาชนได้ตรวจสอบตนด้วย การมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบผู้นำ จะเป็นผลดี เพราะหากผู้นำผิดพลาดจะได้แก้ไขทันกาลและเป็นการแสดงให้ประชาชนได้เห็นความแตกต่างระหว่างผู้บริหารประเทศที่มิชอบธรรม และผู้นำประชาชน
ประชาชนที่ร่วมการต่อสู้ ต้องมีส่วนร่วมส่งเสริมสนับสนุนการต่อสู้ ทั้งความคิดแรงกายแรงใจ และการเงิน ฯลฯ อย่าปล่อยให้ผู้นำต่อสู้อย่างโดดเดียว เพราะหากการนำการต่อสู้แพ้ ก็เท่ากับประชาชนแพ้ด้วย
5.3 ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยทั้งในสากลและในประเทศไทยในเรื่องการได้ชัยชนะเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจ เนื่องจากชนชั้นปกครองหรือผู้บริหารประเทศในสังคมไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง จะเข้มแข็งมีกำลังมาก ขณะที่ประชาชนที่รักชาติรักประชาธิปไตยจะอ่อนแอ ขาดคุณภาพ และมีกำลังน้อยกว่าในช่วงเริ่มต้น
ฉะนั้นการต่อสู้ของประชาชนในช่วงเริ่มต้นและต่อไป รวมทั้งการต่อสู้ในศาล ประชาชนมักจะถูกตัดสินให้แพ้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกระบวนการยุติธรรมยังไม่เป็นธรรม หรือยังไม่ได้ยึดหลักกติกาสูงสุด คือ รัฐธรรมนูญเป็นหลัก แต่ชัยชนะของประชาชนที่ใช้สิทธิในฐานะเจ้าของแผ่นดินต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและบ้านเมือง จะต้องเกิดขึ้น
ฉะนั้น ประชาชนจะต้องมีความเชื่อมั่นและมั่นใจในพลังความถูกต้องชอบธรรมของตนเอง และสู้จนถึงที่สุด แล้วชัยชนะของประชาชนไทย ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คนดีต้องชนะ คนชั่วต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี