ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักการเมืองที่ต้องคดีอาญาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยศาลได้รับฟ้องคดีไว้แล้ว แต่จำเลยหลบหนีคดี หรือติดตามตัวจำเลยมาไต่สวนคดีไม่ได้
ที่ผ่านมา คดีก็ค้างท่อ รอเจ้าตัวกลับมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ก็ยังไม่มาซะที
ปรากฏก็แต่เคลื่อนไหว และผลักดันการออกกฎหมายนิรโทษกรรมคดีโกงสุดซอย
เกิดการเสียประโยชน์แห่งความยุติธรรมของส่วนรวม
1. หลังพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา อัยการสูงสุด นายเข็มชัย ชุติวงศ์ ตอบข้อซักถามสื่อมวลชนว่า คดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น คดีทุจริตเงินกู้กรุงไทย คดีทุจริตแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต ที่เดิมไม่สามารถที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาคดีลับหลังโดยที่ไม่มีตัวจำเลยได้ แต่กฎหมายใหม่ที่เพิ่งออกมา พ.ศ.2560 มาตรา 28 ระบุให้ศาลสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโดยไม่มีตัวจำเลย หรือ พิจารณาคดีลับหลัง และในบทเฉพาะกาล มาตรา 69 ของกฎหมายใหม่ได้ ระบุไว้ว่าการดำเนินการใดที่เกิดขึ้นมาโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายเก่าแล้วนั้นจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ให้พิจารณาต่อไปตามกฎหมายใหม่ที่บังคับใช้ ดังนั้น จึงเห็นว่าคดีดังกล่าวสามารถรื้อฟื้นกลับมาพิจารณาใหม่ได้ ซึ่งอัยการจะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ เพื่อดำเนินการต่อไป
“จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ ให้อธิบดีสำนักงานคดีพิเศษซึ่งเดิมเคยเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบคดีเป็นผู้เสนอรายชื่อคณะทำงานที่เหมาะสมขึ้นมา ซึ่งการดำเนินการยื่นคำร้องนั้นไม่มีการกำหนดระยะเวลา แต่จะกำชับให้คณะทำงานดำเนินการโดยรวดเร็วไม่ชักช้า ทั้งนี้ เมื่อยื่นคำร้องแล้วหากศาลฎีกาฯ เห็นตรงกันในการบังคับใช้กฎหมายส่วนนี้ก็สามารถดำเนินการต่อได้”
ความเห็นของอัยการสูงสุด ถูกต้อง ชอบธรรมทุกประการ และอยู่บนพื้นฐานของประโยชน์แห่งความยุติธรรมส่วนรวม สมควรได้รับการสนับสนุนจากวิญญูชนผู้ต้องการให้คดีที่ค้างท่อได้รับการสะสางเสียที
2. คดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ปล่อยกู้กฤษดามหานคร
อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายทักษิณ จำเลยที่ 1 กล่าวหาว่าเป็นบิ๊กบอส ซุปเปอร์บอส แทรกแซงสั่งการให้ปล่อยกู้ ทั้งๆ ที่ ผิดกฎหมาย ผิดหลักเกณฑ์ ผิดเงื่อนไข
วันที่ 11 ต.ค. 2555 ศาลนัดพิจารณาคดีครั้งแรก ทักษิณไม่มาศาล ศาลออกหมายจับ และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราวในส่วนของนายทักษิณจนกว่าจะได้ตัวมาศาล
จำเลยอื่นๆ ศาลพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2558 จำคุกและปรับ อาทิ ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ อดีตประธานกรรมการบริหารกรุงไทยฯ, นายวิโรจน์ นวลแขอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทยฯ ตลอดจนเอกชนกลุ่มกฤษดามหานคร รวม 24 รายกระทำผิดจริงในการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ
คำพิพากษากลางระบุว่า เส้นทางการเงินไหลเข้าไปในเครือข่ายของลูกชายทักษิณและคุณหญิงพจมานด้วย
2. คดีทุจริตแปลงสัมปทานโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิต
อัยการสูงสุดยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญา, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตัวเองหรือผู้อื่น, ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,152,157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
กรณีทุจริตออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชิน ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท
กรณีนี้ เป็นหนึ่งในมาตรการที่ศาลฎีกาฯ เคยตัดสินในคดีร่ำรวยผิดปกติ ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน โดยชี้ชัดว่า เป็นการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ตนเองโดยมิชอบ ทีดีอาร์ไอเคยเสนอผลวิจัยว่า ขณะนั้นไม่จำเป็นต้องแปรสัญญาสัมปทานมือถือ แต่ควรแปรสัญญาโทรศัพท์พื้นฐาน เพราะจะก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากกว่า ส่วนการแปรสัมปทานมือถือนั้นจะทำให้เอกชนไม่ต้องส่งรายได้ให้รัฐ จะทำให้บริษัทเอกชนนั้นได้ประโยชน์ และรัฐเสียประโยชน์ขาดรายได้จากค่าสัมปทาน ต่อมา รัฐบาลทักษิณก็มีมติออกพ.ร.ก.แก้ไข พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต และออกกฎหมายแปลงสัมปทานมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต เป็นเหตุให้บริษัทชินคอร์ป ไม่ต้องเสียภาษี เพราะเอาค่าสัมปทานเดิมมาจ่าย กฎหมายนี้ออกมาก่อให้เกิดการกีดกันทางการค้าของคู่แข่งมือถือ เพราะหากเข้ามาในตลาดมือถือ นอกจากต้องเสียใบอนุญาตแล้วต้องเสียภาษี ซึ่งจะทำให้ต้นทุนกิจการสูงขึ้น ไม่ก่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม เมื่อไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันย่อมมีผลกระทบต่อผู้บริโภคหรือประชาชนทันที ฝ่ายเอกชนที่ได้ประโยชน์ก็คือทักษิณ ซึ่งซุกหุ้นของตนไว้ในชื่อผู้อื่นในเวลานั้น
สำหรับคดีนี้ ศาลนัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 15 ต.ค. 2551 และออกหมายจับนายทักษิณ เนื่องจากจำเลยหลบหนี ไม่มาศาล และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความไว้เป็นการชั่วคราว
3. ทั้งหมด ยังไม่นับคดีที่ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง คดีค้างคาข้ามทศวรรษเช่นกัน อาทิ
3.1 คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว (หวยบนดิน)
ป.ป.ช. ยื่นฟ้องนายทักษิณ, คณะรัฐมนตรี และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวม 47 คน เป็นจำเลย ศาลนัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 26 ก.ย. 2551 และมีคำสั่งให้ออกหมายจับนายทักษิณ จำเลยที่ 1 และให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของนายทักษิณ เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะได้นำตัวมาพิจารณาคดี ส่วนจำเลยคนอื่น ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาวันที่ 30 ก.ย. 2552 ยกฟ้องคณะรัฐมนตรี ไม่ผิดอนุมัติโครงการ เพราะมีการเร่งรัดโดยนายกฯขณะนั้น แต่ให้จำคุก 2 ปี นายวราเทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง จำเลยที่ 10, นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดคลังและประธานบอร์ดกองสลากฯ จำเลยที่ 31, นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีต ผอ.กองสลาก จำเลยที่ 42 โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 2 ปี
ส่วนทักษิณ ซึ่งคำพิพากษาบางส่วนระบุว่า เป็นคนสั่งการเร่งรัดทั้งนายวราเทพและนายสมใจนึก ศาลยังไม่ได้พิพากษาชี้ขาด
3.2 คดียื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ
ป.ป.ช. ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยว่า นายทักษิณ ชินวัตร จงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองหรือคู่สมรส หรือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ป.ป.ช.
ศาลฎีกาฯ นัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 29 ก.ค. 2553 แต่นายทักษิณไม่มาศาล ศาลสั่งให้ออกหมายจับ และสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความเป็นการชั่วคราว
4. ขณะที่ทักษิณ ยังนับเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีเหล่านี้
ได้แต่หวังว่า แท็กติกเชยๆ ประเภทที่หนีคดีไป แล้วปิดปากระบบยุติธรรม มิให้ไต่สวนดำเนินคดีแก่ตนเอง ขณะที่ฝ่ายตนเองยังสามารถแต่งทนายยื่นฟ้องใครต่อใครเขาได้หน้าตาเฉย ควรจะหมดยุคไปเสียที ใครก็ไม่ควรใช้อีกแล้ว ไม่เกิดประโยชน์แก่การยุติธรรมส่วนรวมเลย
สังคมควรได้รับความยุติธรรม ได้เรียนรู้บทสรุปของคดีอันเกี่ยวกับผลประโยชน์
สาธารณะ มูลค่านับหมื่นล้านแสนล้าน มิใช่ปล่อยให้ค้างคาข้ามทศวรรษต่อไปอีก
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี