คำสั่งเจ้าคณะปกครองสงฆ์ที่ให้เข้มงวดกวดขันพฤติกรรมของภิกษุสามเณร และการแสวงหาผลประโยชน์จากวัตถุมงคลในพระอุโบสถครั้งนี้ ได้รับกระแสตอบรับจากชาวพุทธอย่างล้นหลาม
เพราะอึดอัด คับข้องใจมานาน กับพฤติกรรมของผู้ครองจีวรบางส่วนที่ก้าวร้าว หยาบคาย สำมะเลเทเมา อวดหรู อวดรวย อวดเบ่ง อย่างกับอาเสี่ยหรือนายทุน มากกว่าเพศบรรพชิต
ข้อห้ามที่ออกมา ยังเบาๆ เบาะๆ เช่น งดการใช้โซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊คห้ามกดไลค์ กดแชร์ โพสต์ภาพ รวมถึงข้อความวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นต่างๆ, ห้ามวิพากษ์วิจารณ์เรื่องต่างๆ อย่างไม่เหมาะสม ส่อยั่วยุ ปลุกปั่น ก้าวร้าว กระทบกระเทือนความมั่นคงต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์, ห้ามแสดงพฤติกรรมไม่สอดคล้องเพศกำเนิด, ห้ามเดินทางไปในสถานที่ไม่ควรแก่บรรพชิต, ห้ามเรื่องโลกวัชชะ การแต่งกายที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ย่ามและรองเท้าที่ไม่ใช่ของสงฆ์ ฯลฯ
ในอดีต เคยมีกฎหมายควบคุมเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนา บังคับใช้เด็ดขาด ยิ่งกว่าปัจจุบัน จึงทำให้สามารถรักษาพระพุทธศาสนาให้สืบต่อมาถึงคนรุ่นปัจจุบันได้
แต่หลายปีหลัง การตรวจสอบบังคับตามวินัยสงฆ์หย่อนยานอย่างที่สุด
และหากปล่อยละเลยต่อไป รังแต่จะทำให้เกิดความเสื่อมอย่างน่าใจหาย
1.ในสมัยรัชกาลที่ 4 เคยมี “ประกาศพระราชบัญญัติเรื่องพระสงฆ์สามเณรลักเพศ พ.ศ.2404” เพื่อเอาผิดกับพระนอกรีตลักลอบออกไปทำผิด โดยถอดจีวร ออกไปเที่ยวเตร่ เกเร สำมะเลเทเมายามค่ำคืน แล้วก็กลับมาครองจีวรเป็นพระ ระบุว่า
“...พระสงฆ์สามเณรทุกวันนี้ มักประพฤติการนักเลง แปลงเพศเป็นคฤหัสถ์ไปเล่นเบี้ย เล่นโป แลสูบฝิ่น กินสุรา ถือศาสตราวุธเที่ยวกลางคืนชุกชุมมากขึ้น จับได้มาเนืองๆ
ครั้นแปลงเพศมาถึงกุฎีแล้วก็สำคัญใจว่าตัวไม่ได้ปลงสิกขาบท กลับเอาผ้าเหลืองนุ่งห่มเข้าตามเพศเดิม
การที่ถือใจว่าไม่ได้ปลงสิกขาบท กลับนุ่งห่มผ้าเหลืองนั้น เป็นความในใจ จะเชื่อถือเอาไม่ได้
ฝ่ายคฤหัสถ์ที่แปลงเพศเป็นภิกษุเข้าร่วมสังฆกรรมในคณะสงฆ์นั้น ตามพระวินัยบัญญัติก็มีโทษห้ามอุปสมบท
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้สืบไป พระสงฆ์สามเณรรูปใดๆ แปลงเพศเป็นคฤหัสถ์ปลอมไปเล่นเบี้ย เล่นโป แลสูบฝิ่น กินสุรา ถืออาวุธเที่ยวกลางคืน อย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวห้ามไว้นั้น มีผู้จับตัวมาได้ หรือสึกแล้วยังไม่พ้นสามเดือนมีโจทก์ฟ้องกล่าวโทษพิจารณาเป็นสัจแล้ว จะให้สักหน้าว่าลักเพศภิกษุ ลงพระราชอาญาเฆี่ยน 2 ยก 60 ที ส่งตัวไปเป็นไพร่หลวงโรงสี…” - พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกาศพระราชบัญญัติเรื่องพระสงฆ์สามเณรลักเพศ พ.ศ.2404 (ข้อมูลจากนิตยสารศิลปวัฒนธรรม)
2.ย้อนกลับไปอีก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มี “กฎพระสงฆ์” กว่า 10 ฉบับ
ปรากฏอยู่ในกฎหมายตราสามดวง
ประกาศขึ้นเมื่อเกิดกรณีร้ายแรงในพระศาสนา เพื่อมิให้พระศาสนจักรมัวหมอง ต้องจัดการเด็ดขาด
ให้พระเป็นพระ วัดเป็นวัด เพื่อความเจริญงอกงามของแผ่นดินสืบต่อไป
เพื่อพิทักษ์รักษาความมั่นคงของแผ่นดิน ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านรัชสมัยสำคัญ
หลายกรณี มีบทลงโทษรุนแรง เด็ดขาดมาก ทั้งกับพระและฆราวาส อาทิ
กฎพระสงฆ์ฉบับที่ 1 บางตอนระบุว่า
“...ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งว่า แต่นี้สืบไปเมื่อน่า ให้พระสงฆ์ผู้สำแดงพระธรรมเทศนา แลราษฎรผู้จะฟังพระมหาชาติชาฎกนั้น สำแดงแลฟังแต่ตามวาระพระบาฬีแลอรรถคาถาฎีกาให้บริบูรณด้วยผลอานิสงษนั้น ก็จะได้ภบสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตตามเทวราช โองการตรัสสั่งมาแก่พระมาไลยเทวเถระนั้น ห้ามอย่าให้เทศนาแลฟังเทศนาเปนกาพย์กลอนแลกล่าวถ้อยคำตลกคะนองเปนการเล่นหัวเราะชื่นชมด้วยกัน ประมาทให้ผิดจากพระวินัยเปนอันขาดทีเดียว แลให้พระภิกษุสงฆ์เถรเณรฝ่ายคันธธุระวิปัศนาธุระ แลอาณาประชาราษฎรทั้งปวงประพฤดิ์ตามพระราชกำหนดกฎหมายนี้ จงทุกประการ
ถ้าพระสงฆ์เถรเณรและอาณาประชาราษฎรผู้ใดมิได้ประพฤดิ์ตามพระราชกำหนดกฎหมายนี้ จะเอาตัวผู้มิได้กระทำตามกฎและญาติโยมพระสงฆ์เถรเณรรูปนั้นเปนโทษตามโทษานุโทษ”
สรุปคร่าวๆ คือ มิให้เทศน์และกล่าวถ้อยคำตลกคะนอง ภิกษุสามเณรรูปใดฝ่าฝืน ให้นำตัวมาลงโทษพร้อมกับญาติโยมของภิกษุสามเณรรูปนั้น
กฎพระสงฆ์ฉบับที่ 2 ระบุถึงพระภิกษุสงฆ์ที่ไม่ได้รักษาพระปาติโมกข์ เที่ยวคบหากับฆราวาส ด้วยหวังกามคุณ 5 (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ) มิได้เห็นแก่พระพทธศาสนา
กฎพระสงฆ์ฉบับที่ 3 ระบุถึง พระภิกษุสงฆ์ที่ละเมิดพระวินัยบัญญัติ ปล่อยปละละเลยพระในสังกัดของตนเที่ยวไปทำการตามอำเภอใจ มีการซ่องสุม ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ สำแดงวิชาความรู้ อวดอิทธิฤทธิ์ อวดอุตริ หลอกลวงประชาชน จึงให้พระมีหนังสือสำคัญประจำตัว และให้พระราชาคณะ เจ้าหมู่ เจ้าคณะ เจ้าอธิการและกรมการเมือง ตรวจตราดูแลเข้มงวด หากละเว้นหน้าที่ ถือว่ามีโทษด้วย
กฎพระสงฆ์ฉบับที่ 5 ระบุถึงภิกษุต้องอาบัติปาราชิกข้อเสพเมถุน ข้ออทินนาทานา จึงมีพระบรมราชโองการสั่งว่า ต่อไปให้ภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหนึ่ง แจ้งให้สงฆ์ทราบภายใน 15 วัน ถ้าปกปิดไว้ และยังถือว่าตนเป็นภิกษุ เข้าร่วมสังฆกรรมด้วยสงฆ์ทั้งปวงตามตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว เมื่อสงฆ์พิจารณาตัดสินว่า ต้องอาบัติปาราชิกจริง ให้นำตัวมาลงโทษถึงประหารชีวิต และให้ริบราชบาตรจับเฆี่ยนตีโบยญาติโยมของภิกษุนั้นด้วย
กฎพระสงฆ์ฉบับที่ 6 ระบุถึงภิกษุสามเณรในขณะนั้น ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย หาเลี้ยงชีพโดยการทำงานรับใช้ตามความพอใจของฆราวาส เพื่อหวังลาภสักการะ จึงมีพระบรมราชโองการสั่งว่า ต่อไปห้ามมิให้ภิกษุสามเณรสงเคราะห์ฆราวาส ด้วยการให้ผลไม้ ดอกไม้ ใบไม้ เป็นต้น แล้วทำการเรี่ยไรบอกบุญแก่ผู้ไม่ใช่ญาติ ห้ามมิให้เป็นหมอนวด หมอยา หมอดู ห้ามมิให้เป็นทูตนำข่าวสารของฆราวาส และห้ามทำการทั้งปวงที่ผิดพระวินัยบัญญัติ ผู้ใดต้องอธิกรณ์ร้ายแรงถึงขั้นปาราชิกให้จับสึกเสีย ในด้านฆราวาส ก็ห้ามถวายเงิน ทอง นาก แก้วแหวน และสิ่งอันไม่สมควรแก่สมณะ ห้ามใช้สอยภิกษุสามเณรให้ทำการเพื่อตน เช่น ทำเบญจา ทำงานศพ นวด ปรุงยา ดูหมอ เป็นทูตนำสาร ผู้ใดฝ่าฝืนให้ลงโทษเฆี่ยนตีตามโทษหนักเบา
กฎพระสงฆ์ฉบับที่ 8 ระบุถึงเจ้าอธิการปล่อยปละละเลยไม่ดูแลตักเตือนภิกษุสามเณร ให้ปฏิบัติเคร่งครัดตามพระธรรมวินัย จึงเกิดมีภิกษุสามเณรลามก เป็นโจรทำลายพระศาสนา เช่น ชวนกันเข้าร้านตลาดดูสีกา นุ่งห่มเดินเหินอย่างคฤหัสถ์ ดูโขน หนัง ละคร ฟ้อนรำ ขับร้อง เล่นหมากรุก สกา การพนันทั้งปวง ตลอดจนเสพเมถุนกับสีกา จึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้เจ้าอธิการ อุปัชฌาย์อาจารย์ เอาใจใส่ดูแล มิให้ภิกษุสามเณรประพฤติอย่างนั้นต่อไป
กฎพระสงฆ์ฉบับที่ 10 ระบุถึงพระสงฆ์บางพวกไม่มีหิริโอตัปปะเป็นอลัชชี เช่น คบหากันเสพสุรายาเมา ฉันอาหารในเวลาวิกาล เอาบาตรจีวรขายแลกเหล้า เล่นเบี้ย สวดพระมาลัยตลกคะนองเป็นลำนำ จึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้พระราชาคณะ เจ้าอธิการ ชำระภิกษุสงฆ์พวกอลัชชีทั้งหลายให้สึกเสีย
สรุป ชำระเถิด... ชำระล้างและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา จัดระเบียบสงฆ์และพุทธบริษัทสี่
ทำให้พระเป็นพระ วัดเป็นวัด
เพื่อความเจริญงอกงามของพระศาสนา เพื่อพิทักษ์รักษาความมั่นคงของแผ่นดิน ในช่วงสมัยอันสำคัญ จักเป็นบุญแก่แผ่นดินอย่างที่สุด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี