ต้นทุนภาพพจน์ตำรวจในสายตาประชาชนนั้นแทบไม่มีราคาก็ด้วยพฤติกรรมอันไม่น่าเชื่อถือในวงการตำรวจเองตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันจนมีการเปรียบคนในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ว่าเป็นโจรในเครื่องแบบ ด้วยเหตุนี้จึงมีเสียงเหน็บแนมวงการตำรวจว่าไม่ว่ายุคใดสมัยใดจะหาตำรวจที่ตงฉินยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ล่าสุด วงการตำรวจสร้างผลงานโบดำอีกแล้วเมื่อการขยายผลเพื่อดำเนินคดีอาญากับแก๊งตำรวจที่พา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีโครงการรับจำนำข้าวส่อเค้าจะเป็นมวยล้มต้มคนดู
ความจริงแล้วไม่น่าแปลกใจเพราะมีการคาดหมายแต่แรกหลังมีขบวนการพา นักโทษหญิงปู หลบหนีใหม่ๆ ซึ่งดูเหมือยฝ่ายอำนาจรัฐคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ดูจะไม่กระตือรือร้นที่จะพูดถึงอย่าว่าแต่การตามจับตัว จนถูกตั้งข้อสงสัยว่างานนี้เป็นการฮั้วแบบวินวินโดยฝ่ายอำนาจรัฐไฟเขียวช่วยพา นักโทษหญิงปู ออกนอกประเทศจะได้ไม่เป็นระเบิดเวลาสร้างปัญหาภายในประเทศ แต่พอถูกกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์กดดันถึงได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) รับหน้าเสื่อสืบสวนสอบสวนหาตัวแก๊งพา นักโทษหญิงปู หนีซึ่งก็ได้ตัว 3 ตำรวจมาเซ่นสังเวยประกอบด้วย พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อยู่ฤทธิ์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 (รองผบก.น.5) พ.ต.ท.สามิตร ไชยอิ่นคำ สารวัตรกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจ.นครปฐม ด.ต.พรพิพัฒน์ มากบุญงาม ผู้บังคับหมู่ฝ่ายอำนวจการตำรวจภูธรจ.นครปฐม
ตอนแรก พล.ต.อ.ศรีวราห์ ทำท่าขึงขังจะหาหลักฐานเอาผิดทั้งทางอาญาและทางวินัยกับแก๊งสีกากีที่พา นักโทษหญิงปู หนีโดยมุ่งหาดีเอ็นเอของนักโทษหญิงปู ในรถโตโยต้าคัมรี่สีบรอนซ์ที่ยึดได้และเชื่อว่าเป็นพาหนะที่พาหลบหนี เปรียบเทียบกับหลักฐานดีเอ็นเอที่ตรวจค้นได้ภายในบ้านพักของ นักโทษหญิงปู
แต่ล่าสุดปาหี่มวยล้มต้มคนดูเริ่มส่อเค้า เมื่อ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ให้สัมภาษณ์โดยอ้างผลการตรวจสอบดีเอ็นเอภายในรถโตโยต้าคัมรี่โดยกองพิสูจน์หลักฐานแบบค้านสายตามหาชนว่า ไม่สามารถยืนยันผลดีเอ็นเอได้เพราะดีเอ็นเอที่พบในรถมีดีเอ็นเอปนเปื้อนจำนวนมาก และสรุปเอาดื้อๆ ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่สามารถดำเนินคดีอาญากับ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบตามมาตรา 157 ของกฎหมายอาญาได้ ส่วนนี้จึงจบไป โดยเหลือเพียงการดำเนินคดี พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ และพวกในข้อหาปลอมแปลงเอกสารทะเบียนและเครื่องยนต์รถ
ที่สาธารณชนสงสัยคาใจเป็นอย่างมากก็คือผลตรวจดีเอ็นเอในรถโตโยต้าคัมรี่ที่อ้างว่ามีดีเอ็นเอปนเปื้อนจนไม่สามารถแยกและยืนยันได้ว่ามีดีเอ็นเอของนักโทษหญิงปู อยู่ด้วยหรือไม่ เพราะภายใต้ดวงอาทิตย์ไม่มีอะไรที่โปลิศไทยทำไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ว่าคดีจะยุ่งยากซับซ้อนแค่ไหนการคลี่คลายคดีไม่พ้นฝีมือโปลิศไทยไปได้ แต่แค่เรื่องตรวจผลดีเอ็นเอกลับอ้างว่ามีการปนเปื้อนจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร
หากย้อนไปเมื่อปี 2541 เกิดคดีสุดสะเทือนขวัญฆ่าหั่นศพ น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี นักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งตำรวจสืบสวนสอบสวนจนสามารถจับกุม นายเสริม สาครราษฎร์ นักศึกษาแพทย์โรงพยาบาลวชิระ ซึ่งจากคำรับสารภาพของ นายเสริม ชี้ว่าได้สังหารและหั่นศพของ น.ส.เจนจิรา แล้วนำไปทิ้งในบ่อเกรอะกลางกรุง ซึ่งตำรวจได้ขอให้ พญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์ แพทย์มือหนึ่งของประเทศด้านพิสูจน์ศพจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ชิ้นเนื้อที่เริ่มย่อยสลายและปะปนอยู่กับสิ่งปฏิกูลต่างๆที่พบในบ่อเกรอะ แต่ในที่สุดจากการพิสูจน์ดีเอนเอสามารถยืนยันได้ชัดเจนว่า ชิ้นเนื้อที่พบเป็นของ น.ส.เจนจิรา นำไปสู่การปิดคดีได้อย่างสมบูรณ์
การยกคดีฆ่าหั่นศพดังกล่าวมาอ้างก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ขนาดเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งวิทยาการด้านนิติเวชและการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอยังไม่พัฒนาก้าวหน้าเหมือนปัจจุบันก็ยังสามารถแยกแยะพิสูจน์ได้แม้แต่ชิ้นส่วนเนื้อเยื่อศพที่ย่อยสลายในบ่อเกรอะ แต่นี่ดีเอ็นเอภายในรถโตโยต้าคัมรี่กลับไม่สามารถตรวจสอบได้
จากการปิดฉากไม่สามารถดำเนินคดีอาญากับ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ทำให้เข้าทาง พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ซึ่งทั้งๆที่ก่อนหน้านี้สารภาพว่าขับโตโยต้าคัมรี่พา นักโทษหญิงปู หนี แต่ล่าสุดกลับให้การพลิกลิ้นต่อคณะกรรมการเอาผิดทางวินัย ซึ่งต้องจับตาดูต่อไปเพราะนอกจากส่อปาหี่มวยล้มไม่เอาผิดทางอาญาแล้วอาจมวยล้มซ้ำสองในการเอาผิดทางวินัยโดยลงโทษสถานเบาพอเป็นพิธีของพวกเดียวกันเอง
ขณะที่การขยายผลเพื่อสาวไปให้ถึงตัวการใหญ่ที่ร่วมขบวนการพา นักโทษหญิงปู หนีซึ่งมีข่าวว่ามีนายตำรวจระดับ พล.ต.อ. อยู่เบื้องหลังคงไม่ต้องพูดถึงเพราะเชื่อว่าตัดตอนจบข่าวลอยนวล
อย่างไรก็ตาม แม้จะหมดความหวังเอาผิดทางอาญากับแก๊งพานักโทษปูหนีจากสีกากีพวกเดียวกันเอง แต่ก็ยังเหลือความหวังอยู่บ้างเมื่อ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เตรียมยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เพื่อให้ตรวจสอบเอาผิดทางอาญากับแก๊งพานักโทษหญิงปู หนีตามมาตรา 189 ของกฎหมายอาญา ฐานช่วยผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้ต้องหากระทำผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษเพื่อไม่ให้ต้องโทษหรือช่วยเหลือผู้นั้นเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี