ศุกร์ 13 ตุลาคมนี้แล้ว จะครบหนึ่งปีแห่งการเสด็จสวรรคต หลายฝ่ายกำลังเตรียมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ อย่างสมพระเกียรติ เพื่อเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงทำเพื่อคนไทยมาตลอด แต่หากนับไปแล้ว ไม่มีทางเทียบได้เลยกับการทรงงานหนักตลอด 70 ปี 126 วัน ตลอดรัชสมัยพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี สิ่งที่ประจักษ์โดดเด่นก็คือโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4,685 โครงการ เพื่อคนไทยทั้งประเทศ
ตลอด 70 ปีในรัชสมัยพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมพสกนิกรและปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทบทุกวัน ทุกๆการทรงงานและทุกๆโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เกิดขึ้น ล้วนเพื่อช่วยยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีให้พสกนิกรทุกคน ทุกวัย และทุกพื้นที่ในประเทศไทย ทั้งด้านสาธารณสุข,เกษตรกรรม, คมนาคม, การบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
โดยโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริตลอดรัชสมัยของพระองค์แบ่งได้เป็น 8 ด้านหลักๆ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาด้านแหล่งน้ำ 3,204 โครงการ,พัฒนาด้านการเกษตร 169 โครงการ,พัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม 177 โครงการ,พัฒนาด้านส่งเสริมอาชีพ 341 โครงการ,พัฒนาด้านสาธารณสุข 57 โครงการ,พัฒนาด้านคมนาคมและการสื่อสาร 86 โครงการ,ด้านสวัสดิการสังคมและการศึกษา 393 โครงการ,พัฒนาแบบบูรณาการ 258 โครงการ ซึ่งกระจายอยู่ทุกภูมิภาคทุกจังหวัดของประเทศไทย ไม่มีจังหวัดใดที่ไม่มีโครงการพระราชดำริของพระองค์ก่อเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมุ่งเน้นการทรงงานแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ที่เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศและพสกนิกรไทยขณะนั้น ซึ่งช่วงดังกล่าว ไทยประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบสาธารณสุขที่ยังเข้าไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่และไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร ทั้งพื้นที่ต่างๆในประเทศก็ยังสัญจรด้วยความลำบาก ส่งผลให้โครงการอันเนื่องจากพระราชดำริช่วงต้นรัชกาล จึงเต็มไปด้วยโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับสาธารณสุขและการพัฒนาพื้นที่ชนบทเป็นหลัก
โครงการพระราชดำริด้านการสาธารณสุข
ช่วงต้นรัชกาล หลังเสด็จนิวัตพระนครปี พ.ศ.2493 สมัยนั้นกิจการด้านการแพทย์ของไทยยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ประกอบกับช่วงนั้นวัณโรคแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในประเทศ พระองค์จึงทรงมีพระราชปรารภกับอธิบดีกรมสาธารณสุขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ.2493 ความว่า“…คุณหลวง วัณโรคสมัยนี้มียารักษากันได้เด็ดขาดหรือยัง ยาอะไรขาด ถ้าต้องการ ฉันจะหาให้อีก ฉันอยากเห็นกิจการแพทย์ของเมืองไทยเจริญมากๆ...” จากนั้นอีกไม่นาน พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ 500,000 บาท ใช้สร้างอาคารมหิดลวงศานุสรณ์เพื่อผลิตวัคซีนที่ใช้รักษาวัณโรคให้เพียงพอต่อความต้องการ จนในที่สุดวัณโรคได้หายไปจากประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน แทบไม่พบผู้ติดเชื้ออีกแล้ว หรือครั้งที่ไทยเผชิญกับอหิวาตกโรคระบาดรุนแรง ซึ่งโรคนี้จำเป็นต้องใช้น้ำเกลือจำนวนมากในการรักษา แต่ขณะนั้นน้ำเกลือที่มีคุณภาพในประเทศไทยแทบหาไม่ได้ จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ก็ติดอุปสรรคเรื่องค่าใช้จ่ายสูง พระองค์จึงพระราชทานพระราชดำริให้มีการศึกษาวิจัยวิธีสร้างเครื่องกลั่นน้ำเกลือใช้เอง จนทำให้น้ำเกลือไทยมีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับจนถึงปัจจุบันนี้นอกจากนี้ หลายคนอาจไม่รู้ว่า ทุกครั้งที่เสด็จฯยังพื้นที่ต่างๆ จะนำแพทย์ประจำพระองค์ตามไปด้วย ไม่ใช่ไว้ดูแลพระองค์ แต่เพื่อให้แพทย์ที่ตามเสด็จมีโอกาสตรวจและรักษาโรคให้ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งทุกครั้งล้วนเป็นการรักษาฟรี จนในที่สุดก็ก่อเกิดเป็นหน่วยแพทย์พระราชทานขึ้นเมื่อ 29 มกราคม พ.ศ.2512 หรืออีกโครงการสำคัญด้านสาธารณสุขที่พสกนิกรชาวไทยรู้จักกันดีคือโครงการแพทย์หลวงเคลื่อนที่พระราชทาน ที่ทรงมีพระราชดำริให้ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ.2510
อีกเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริด้านสาธารณสุข คือ ที่พระองค์เสด็จฯทรงเยี่ยมและพระราชทานเกลือไอโอดีนแก่พสกนิกรที่อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ พ.ศ.2530 เนื่องจากทรงทราบว่าพสกนิกรในพื้นที่จำนวนมากเป็นโรคคอพอก และแม้มีหน่วยงานราชการนำเกลือไอโอดีนไปให้กินแล้ว แต่พสกนิกรก็ยังไม่เชื่อถือราชการเท่าไรนัก ท้ายสุด จึงเสด็จพระราชดำเนินไปเพื่อพระราชทานเกลือเสริมไอโอดีนด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง การเสด็จฯครั้งนั้น ทำให้ทอดพระเนตรเห็นสภาพปัญหาด้านการจัดการน้ำและถนนในพื้นที่ ส่งผลให้ทรงต้องเสด็จพระราชดำเนินขึ้น-ลง อ.สะเมิง อีกหลายครั้ง เพื่อทรงงานและแก้ปัญหาดังกล่าว จนในที่สุดทรงพระประชวรจากการติดเชื้อไมโคร พลาสม่า อันเป็นที่มาของอาการพระหทัยเต้นผิดปกติเรื้อรัง จนต้องเข้ารับการผ่าตัดเมื่อปีพ.ศ.2538
โครงการพระราชดำริด้านการบริหารจัดการน้ำ
การเสด็จฯทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร ทำให้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อน ทุกข์ยากของราษฎรและเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำ พระองค์ทรงคิดค้นและพระราชทานโครงการด้านการบริหารจัดการน้ำไว้มากถึง 3,204 โครงการ ที่เด่นๆ ทุกคนรู้จักดี อาทิ “โครงการฝนหลวง” ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งเสด็จฯทรงเยี่ยมพสกนิกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือปีพ.ศ. 2498 แล้วทรงทราบถึงความเดือดร้อนที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและใช้ทำการเกษตรกรรม จึงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานโครงการพระราชดำริ“ฝนหลวง” ซึ่งต่อมาหลังการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์นานกว่า 14 ปี ในที่สุดปีพ.ศ. 2512 ก็เกิดเป็นโครงการค้นคว้าทดลองปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงขึ้น
นอกจากนั้นยังมีที่รู้จักกันดีคือ“โครงการแก้มลิง” เป็นโครงการเก็บกักน้ำเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัย ที่สำคัญในเขตกรุงเทพฯ รวมถึงโครงการพระราชดำริเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลของพระองค์ที่เล็งเห็นปัญหาการใช้น้ำในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจึงกำเนิดโครงการพระราชดำริเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งและเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านน้ำให้มากขึ้น
โครงการพระราชดำริด้านการเกษตร
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้ความสำคัญกับการเกษตรอย่างมาก เนื่องด้วยทอดพระเนตรเห็นว่า เกษตรกรรมเป็นอาชีพพื้นฐานของสังคมไทย ทรงเน้นเรื่องการค้นคว้าทดลองและวิจัยพันธุ์พืชต่างๆ รวมทั้งทรงส่งเสริมและพัฒนาโครงการด้านการเกษตรมากมาย อาทิ“โครงการแกล้งดิน” ที่พระราชทานพระราชดำริให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ดำเนินการศึกษา ทดลอง เพื่อปรับปรุงดินเปรี้ยวให้สามารถใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้ รวมถึงโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่ใช้หลักการแบ่งพื้นที่การเกษตรเป็นส่วนๆเพื่อบริหารจัดการเป็นแหล่งน้ำ พืชไร่พืชสวน นาข้าว และที่อยู่อาศัย โดยพัฒนาประสิทธิภาพการเกษตรให้สอดคล้องต่อการดำเนินชีวิตของเกษตรกร
โครงการพระราชดำริด้านการศึกษา
จากการเสด็จฯไปยังถิ่นทุรกันดาร ปัญหาหนึ่งที่ทรงสนพระราชหฤทัยคือ ปัญหาการศึกษาที่เข้าไม่ถึงพื้นที่ชายขอบทั่วประเทศ โดยพระราชทานทุนพระราชทรัพย์ประเดิม 50 ล้านบาท ตั้งมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนครู สร้างช่องทางการศึกษาเพื่อประชาชน นอกจากนี้พระราชทุนการศึกษาให้พสกนิกรที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์อีกหลายสิบทุน ดั่งเช่น “ทุนภูมิพล” ที่เกิดขึ้นครั้งแรกปีพ.ศ.2495 โดยทรงตั้งกองทุนภูมิพลมีรายได้เริ่มแรกจากการจัดฉายภาพยนตร์ส่วนพระองค์ พระราชทานทุนการศึกษาเริ่มแรก 2 แสนบาท แก่ธรรมศาสตร์ และจุฬาฯ
โครงการพระราชดำริด้านการคมนาคม
ตลอดรัชสมัยของพระองค์ มีโครงการพระราชดำริด้านการคมนาคมและการสื่อสารเกิดขึ้นเกือบ 100 โครงการ เพื่อแก้ปัญหาการสัญจรให้สะดวก รวมทั้งปัญหาสภาพจราจรแออัดในกรุงเทพฯด้วย โครงการพระราชดำริด้านการคมนาคมในชนบทที่เกิดเป็นโครงการแรก คือ โครงการถนน “ห้วยมงคล” เมื่อปีพ.ศ.2495 นอกจากนี้ยังมีอีกมาก หนึ่งในนั้นคือ โครงการทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ที่ทรงมีพระราชดำริให้ก่อตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ.2538 ตามพระราชประสงค์หวังแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ รวมถึงโครงการสะพานภูมิพล ที่มีเส้นทางเชื่อมต่อถนนสุขสวัสดิ์ ถนนปู่เจ้าสมิงพราย ถนนพระราม 3 และถนนกาญจนาภิเษกเข้าด้วยกัน เปิดให้ประชาชนใช้มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2549 จนถึงปัจจุบัน
พระอัจฉริยภาพเป็นที่ยอมรับในวงการวิชาการทั่วโลกโดยมีผู้ทูลเกล้าฯถวายรางวัลต่างๆมากมาย รางวัลหนึ่งคือ โครงการควบคุมยาเสพติดของสหประชาชาติ (UNDCP) ที่ได้ทูลเกล้าฯถวายเหรียญทองเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณในการแก้ปัญหายาเสพติด โดยส่งเสริมให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น หันมาปลูกพืชอื่นสร้างรายได้แทน นับเป็นโครงการหลวงปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่นแห่งแรกของโลก เมื่อปีพ.ศ.2537 เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงหนึ่งในเศษเสี้ยวของกว่า 4,685 โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่เกิดจากการทรงงาน ที่ทรงห่วงใยความเป็นอยู่ของพสกนิกรทุกด้านตั้งแต่การรักษาพยาบาล ชีวิตความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม การศึกษา แม้ช่วงที่ทรงพระประชวร แต่พระองค์ทรงไม่ทอดทิ้งประชาชน จึงนับได้ว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา เป็นพ่อของแผ่นดินเป็นพ่อของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าอย่างแท้จริง...
“...การทำงานใหญ่ๆ ทุกอย่าง ต้องการเวลามากกว่าจะทำสำเร็จ ผู้ที่เริ่มโครงการอาจทำไม่สำเร็จโดยตลอดด้วยตนเองก็ได้ ต้องมีผู้อื่นรับทำต่อไป ดังนั้นไม่ควรยกเอาเรื่องใครเป็นผู้เริ่มงาน ใครเป็นผู้รับช่วงงานขึ้นเป็นข้อสำคัญ จะต้องถือผลสำเร็จที่จะเกิดจากงานเป็นใหญ่
ยิ่งกว่าสิ่งอื่น...”
ความตอนหนึ่งในพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันพฤหัสบดี ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๔
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี