แม้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะตั้งใจปฏิรูปประเทศในหลายด้านเพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงและไม่ย้อนกลับไปสู่วงจรอุบาทว์ของระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอีก แต่ดูเหมือนการปฏิรูปในเรื่องสำคัญหลายเรื่องยังมีจุดอ่อนข้อบกพร่องที่อาจเปิดช่องให้ระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์กลับมาเป็นฝันร้ายตามหลอกหลอนบ่อนทำลายประเทศอีก ด้วยเหตุนี้นายถาวร เสนเนียม ในฐานะอดีตแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) จึงออกมาจี้ให้อำนาจรัฐคสช.เร่งแก้ไขข้อบกพร่องในการปฏิรูป 3 เรื่องสำคัญ
เรื่องแรก นายถาวร ชี้ว่าการทำพรรคการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงโดยขจัดกลุ่มทุนสามานย์ที่ใช้ทุนจากการทุจริตซื้อสส. ซื้อเสียง ซื้ออำนาจรัฐ ซื้อประชาธิปไตย ซื้อประเทศแล้วโกงชาติปล้นแผ่นดินถอนทุนบวกกำไรมหาศาลด้วยการออกกฎหมายพรรคการเมืองที่กำหนดให้มีระบบไพรมารีโหวตยังไม่เพียงพอเพราะยังมีช่องโหว่ ดังนั้นต้องไปเขียนในกฎระเบียบข้อบังคับหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยระบุเจาะจงให้ชัดเจนเกี่ยวกับการตรวจสอบแหล่งที่มาเงินทุนที่อยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองเพื่อไม่ให้ทุนสามานย์เข้าครอบงำเป็นเจ้าของบริษัทการเมือง หรือเป็นนายทาสของสส.
เรื่องที่สอง การปฏิรูปตำรวจ ต้องปฏิรูปเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่ปฏิรูปเพื่อประโยชน์ของตำรวจ เพราะเท่าที่เห็นการเอา พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด มาเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและตำรวจส่อเค้าว่าหมดหวังไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรตำรวจเพื่อประโยชน์ของประชาชนได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้คณะกรรมการที่มี พล.อ.บุญสร้าง เป็นประธานควรฟังความเห็นของประชาชนและนักวิชาการ อาทิ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ นักวิชาการ และนายวิทยา แก้วภราดัย อดีตแกนนำกปปส. และอดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเวลาที่เหลืออยู่อีกเกือบ 1 ปี ยังไม่สายที่จะแก้ไขจุดอ่อน สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าจริงใจจะทำหรือไม่เท่านั้น
พูดถึงเรื่องการปฏิรูปตำรวจประเด็นสำคัญที่มหาชนอยากให้ปฏิรูปมีอยู่ 2 เรื่อง คือ องค์กรตำรวจควรมีการกระจายอำนาจครั้งใหญ่โดยให้แต่ละจังหวัดมีอำนาจอิสระในการคัดเลือกแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจแทนที่จะรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง เช่นปัจจุบันซึ่งเปิดช่องให้มีการทุจริต วิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง และถูกแทรกแซงจากการเมือง และควรแยกงานสอบสวนออกจากงานปราบปราม แต่ทั้งสองประเด็นถูกต่อต้านแบบหัวชนฝาจากตัวแทนของตำรวจที่ร่วมอยู่ในคณะกรรมการที่มี พล.อ.บุญสร้าง เป็นประธานจนส่อเค้าว่าในที่สุดการปฏิรูปตำรวจจะพายเรือในอ่าง
เรื่องที่สาม การขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น ล่าสุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติรื้อคดีทุจริตสำคัญ 3 คดีขึ้นมาพิจารณาใหม่โดยในจำนวนนี้เป็นคดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก เป็นจำเลย ประกอบด้วย คดี นายทักษิณ ใช้อำนาจขณะเป็นนายกฯสั่งให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าๆ หรือเอ็กซิมแบงก์ ปล่อยเงินกู้ให้กับรัฐบาลเมียนมา 4,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษเพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคมจากบริษัทเครือชินวัตรอันเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน และคดีการออกสลากบนดิน ที่มีการทุจริตและนำเงินรายได้ของสำนักงานกินแบ่งรัฐบาลไปใช้เพื่อผลทางการเมืองของพรรคไทยรักไทยในอดีต เป็นเหตุให้รัฐสูญเสียรายได้เป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
การรื้อฟื้นคดีทุจริตในอดีตขึ้นมาพิจารณาใหม่เนื่องจากที่ผ่านมาจำเลยหลบหนีคดีทำให้ศาลต้องจำหน่ายคดีชั่วคราว แต่เมื่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีผลบังคับใช้ทำให้ศาลสามารถพิพากษาคดีลับหลังจำเลยได้
อย่างไรก็ตาม นายถาวร ชี้ว่า แม้ขณะนี้จะมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งศาลสามารถพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ แต่ควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมกำหนดให้ประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศสามารถเป็นโจทก์ฟ้องร้องคดีทุจริตได้ทุกเรื่องและเป็นคดีที่ไม่มีอายุความ
นายถาวร ยังให้ความเห็นทิ้งท้ายว่า หากไม่ปฏิรูปให้สำเร็จสมบูรณ์ก่อนการเลือกตั้งก็คาดได้เลยว่าการเมืองจะกลับไปสู่วงจรอุบาทว์เหมือนเดิมและการรัฐประหารโดยคสช.จะเสียของสูญเปล่าและเสียโอกาสประเทศ จะเกิดเผด็จการในระบอบรัฐสภาโดยเสียงข้างมากลากไปโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรมโดยอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งจึงสามารถทำสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้การยึดอำนาจและการปฏิรูปประเทศต้องเสียของ คสช.ควรรีบแก้ไขจุดอ่อนใน 3 เรื่องดังกล่าว เพื่อไม่ให้ประเทศกลับไปสู่วังวนของวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายที่สร้างความบอบช้ำอย่างหนักให้แก่ชาติบ้านเมืองตลอดกว่า 10 ปี ที่ผ่านมา
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี