“บ้านเมืองของเรา กำลังต้องการการปรับปรุงและการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ ทางที่เราจะช่วยกันได้ก็คือ การที่ทำความคิดให้ถูกและแน่วแน่ ในอันที่จะยึดถือประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่หมาย ต้องเพลาการคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัว และความขัดแย้งกันในสิ่งที่มิใช่สาระลง”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2543
...
เมื่อ นายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ “ตูน บอดี้สแลม” นักร้องชื่อดังออกวิ่งในครั้งก่อน เพื่อหางบประมาณสนับสนุนโรงพยาบาลบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วิวาทะสำคัญ ที่ติดอยู่ใต้รองเท้าวิ่งของตูน ซึ่งเกิดขึ้นในโลกสังคมออนไลน์ คือ จะต้องออกมาวิ่งทำไม โรงพยาบาลและเครื่องมือแพทย์เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขต้องจัดหาและดูแลสิ ขณะที่ในโลกแห่งความเป็นจริงทุกจังหวะวิ่งของตูน ดึงเอา “จิตใจด้านดี” ของคนรายทาง ออกมาร่วมบริจาคกันอย่างกว้างขวาง ชนิดวิ่งไม่เหนื่อย เท่ากับการหยุดถ่ายรูปและรับเงินจากผู้ร่วมบริจาคตลอดเส้นทาง
สังคมของเรา ช่างมีความแตกต่างหลากหลายเสียจริงๆ ซึ่งแม้เป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์ แต่มันก็สะท้อน “ความเป็นมนุษย์” ของสมาชิกในสังคมหนึ่งๆ ด้วย
ครั้นตูนประกาศวิ่งอีกครั้ง เพื่อนำรายได้ไปช่วยโรงพยาบาล 11 แห่งทั่วประเทศ โดยครั้งนี้จะวิ่งจาก “เบตง-แม่สาย” วิวาทะใต้รองเท้าวิ่งของตูนก็เกิดอีกครั้ง นำมาสู่การถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ถึงคุณภาพความคิดและจิตใจ ที่มีทั้งต่ำกว่ารองเท้าและสูงกว่ารองเท้าวิ่งของตูน!
ที่เป็นเรื่องที่สุด น่าจะเป็นการ “แชร์ข้อความ” ของนักเขียนประจำนิตยสาร “สารคดี” ชื่อ สุเจน กรรพฤทธิ์ มาที่หน้าเพจของตัวเอง ของ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ พร้อมข้อความประกอบว่า “โลกสวยๆ what a beautiful world ! โลกสวย ๆ what a beautiful world !”
แน่นอน ในยุคนี้ คำว่า “โลกสวย” เป็นคำเหน็บแนม ประชดประชัน เมื่อ ดร.ชาญวิทย์ ใช้คำนี้ จึงต้องไปดูข้อความต้นทางที่แชร์มา ว่ามีสาระสำคัญว่าอะไร ก็พบว่า นายสุเจน กรรพฤทธิ์
นักเขียนนิตยสารสารคดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Sujane Kanparit ว่า...
“ใครอยากจ่ายให้พี่ตูน ตามสบายนะครับ ผมไม่ขัดศรัทธา แต่ในสภาพนี้ อย่าว่าแต่สิบบาทเลย พี่ตูนจะไม่ได้เงินจากผมแม้แต่บาทเดียว ถ้าพี่ตูนอยู่ถ้ำ ไม่รับข่าวสาร ว่าใครเอาภาษีเราไปช็อปปิ้ง
ฮ. เรือดำน้ำ ฯลฯ แต่บอกไม่มีเงินมาบำรุงคุณภาพชีวิตคนในชาติ ผมจะไม่ว่าเลย นี่ตกท่อมาก็แล้ว วิ่งมากี่รอบแล้ว ข่าวช็อปปิ้งอาวุธออกมากี่รอบแล้ว ยังคิดไม่เป็นอีกว่าต้องขอเงินใคร จะโง่ไปถึงไหนครับพี่ ? ว่าการวิ่งของพี่ตูน มันคือการกลบปัญหาให้รัฐบาลทหาร ตอบสนองพวกสลิ่มในทุ่งลาเวนเดอร์ไปวันๆ แก้แต่ปัญหาระยะสั้น แต่ระยะยาว ไม่ได้แก้อะไรเลย”
ข้อความของสุเจน ไม่ได้สะท้อนอะไรไกลไปกว่าตัวตนและความคิดของเขา ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ “ฝ่ายรัฐประหาร” และ “ฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ” ที่เขาเรียกว่า “สลิ่ม” จนความเกลียดชัง อคติ และจิตคิดต้านนี้ไปบดบัง “ความมีปัญญา” ของเขาจนเสียผู้เสียคนมาแล้วหลายครั้ง เป็นตัวอย่างที่สอนเราได้ว่า หากเอาความเป็นขั้วตรงข้าม ความชิงชังรังเกียจ มาเป็น “สมอง” แล้วไซร้ สมองจะหายไปในบัดดล!
1) เพราะสุเจนระงับความชังคนฝั่งตรงข้ามอย่าง “สลิ่ม” ไม่ไหว ใจอันสกปรกของเขาจึงผลิตคำพูด “ระราน” ที่พาเสื่อมออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ ว่า นี่คือนักเขียนที่ทำงานอยู่กับนิตยสารคุณภาพอย่างนิตยสารสารคดี ความชิงชังนี้ทำให้สุเจนไม่อาจมองเห็น “ความดี” ของตูน ที่ทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ โดยใช้ความมีชื่อเสียงของเขาในทางบวกเลย ถ้อยคำของสุเจนจึงเต็มไปด้วย “ความมืดบอด” ที่ประจานตัวเอง ว่าบริโภคความชิงชังเป็นอาหารหลัก
2) หากสุเจนจะ “วิพากษ์” ระบบการจัดสรรงบประมาณ โดยเฉพาะด้านที่ควรจัดสรร นั่นคือเรื่อง “ระบบสุขภาพ” ของประชาชน โดยรู้ “ระงับอคติส่วนตัว” ถ้อยคำของเขาจะ “สะอาด” และ “จุดประกายทางปัญญา” ได้มากกว่านี้ แต่พอเขาระรานไปถึงขั้นว่า “พี่ตูนอยู่ในถ้ำ” คือไม่มองว่า การออกวิ่งของตูนเป็น “ความโง่งม” ตกข่าว สิ้นคิด ความวิปริตของเหตุและผลก็เกิดขึ้นในบัดดลเช่นกัน
3) แต่วิธีคิดแบบสุเจน ใช่มีแค่สุเจน ทว่ามันระบาดไปทั่วในหมู่นักเลงคีย์บอร์ด ที่ไม่รู้จำแนกแยกแยะ เรื่องตำหนิระบบของรัฐบาล กับยกย่องจิตใจของตูนออกจากกัน สังคมจึงจับต้องเรื่องนี้ในลักษณะ “คนดีชอบทำ คนระยำชอบติ”
4) เรื่องทำไมไม่เอางบซื้อเรือดำน้ำ อาวุธของกองทัพ มาสร้างโรงพยาบาล เป็นคำถามที่สะท้อนว่า ไม่เข้าใจระบบการจัดสรรงบประมาณของประเทศซึ่งมีจำกัด ว่าต้องกระจายไปยังทุกกระทรวง จากนั้นแต่ละกระทรวงก็ไปบริหารจัดการเอาเองว่าจะใช้ยังไง ต่อให้เขาไม่ซื้อเรือดำน้ำ เฮลิคอปเตอร์ หรืออาวุธ กระทรวงกลาโหมเขาก็ไปจัดสรรทำอย่างอื่นในส่วนของเขาอยู่ดี ไม่ใช่ว่าจะโอนมาให้กระทรวงสาธารณสุขซื้อเครื่องมือแพทย์หรอกนะครับ มันจึงอยู่ที่ กระทรวงสาธารณสุขบริหารจัดการงบประมาณของตัวเองได้ดีไหม งบที่ได้พอไหม ต้องเพิ่มให้ไหม แล้วประเทศชาติมีงบมากไหม คนในชาติจ่ายภาษีกันจริงจังไหม หรือเอาแต่แบมือขอและก่นด่าประเทศชาติ แต่ไม่เคยคิดจะ “ร่วมลงทุน” สร้างหลักประกันไปด้วยกัน
5) ส่วนที่ตูนเขาวิ่งนั้น เป็นจิตอันเป็นกุศลของเขา ซึ่งเป็นบุคคลมีชื่อเสียง แทนที่เขาจะเอาชื่อเสียงของเขาไปแขวะด่าคนอื่น หรือแค่เอาไปหากินส่วนตัว เช่น ขายยาปลุกเซ็กซ์ เหล้า เครื่องดื่มกาเฟอีน อาหารเสริมผิวขาว จั๊กกะแร้งาม กาแฟผอม ฯลฯ เท่านั้น แต่เขาเอาชื่อเสียงของเขามาดึง “สำนึกดีๆ” ของคน มาก่อให้เกิดพลังในการ “เติมเต็ม” สิ่งที่ “ขาด” แก่ “ชาติบ้านเมือง” ซึ่งหลายคนไม่มีสำนึกนี้!!
6) การวิ่งของตูนเป็นการวิ่งด้วยจิตใจของเขาเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับรัฐบาลที่สุเจนเกลียดชัง เขาวิ่งด้วยมนุษยธรรม ซึ่งมนุษยธรรมนี่เอง ทำให้คนไกลพ้นจากความเป็นเดรัจฉาน ตรงที่มีเยื่อใยต่อกัน รู้จักแบ่งปันในสิ่งที่มี เติมในสิ่งที่ขาดให้แก่กัน โดยไม่ยึดติดหวงแหน หรือไม่ยอมลำบาก ไม่ลงมือทำ ไม่เสียสละ มนุษย์ต่างจากเดรัจฉานตรงที่อยู่ด้วยกันอย่างมีเยื่อใยและมีจิตใจที่จะเสียสละแบ่งปันให้คนอื่น บางอย่างเป็นเรื่องของใจที่รู้จักให้ไม่ใช่แค่เรื่องหน้าที่ บางอย่างเป็นเรื่องการทำความดีไม่ใช่อคติบ้าบอทางการเมืองหรือเรื่องขั้วข้าง อยากตรวจสอบเรื่องไหนก็ทำไปแต่อย่าเอาปากสกปรกแล้งน้ำใจมาจิกกัดคนทำดี ในสายตาของสังคม เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของคนใจสูงกับคนปากสกปรก เพราะถ้อยคำที่สุเจนเลือกใช้
7) สิ่งที่ตูนทำนั้น เขาไม่ได้สนใจว่าเป็นเรื่อง “แก้ปัญหาระยะสั้นหรือระยะยาว” หากแต่เป็นเรื่องที่เขา “ทำได้และอยากทำ” อย่างน้อยมันก็เพิ่มสิ่งที่ “ขาด” ให้ “มี” ขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง และกระตุกกระตุ้นให้สังคมได้สนใจ การเอาตัวเองไปเติมเต็มให้แก่ประเทศชาติ มากกว่าหวังรอจากประเทศชาติโดยไม่เคยให้อะไรหรือไม่แม้แต่จะคิด
8) แต่แน่นอน หากสาง “คำขยะ” และ “อคติ” ออกจากข้อความของสุเจนแล้ว ประโยชน์ที่สังคมบัณฑิตพึงเห็นก็คือ ถึงเวลาที่ต้องมาพูดกันเรื่อง “ความมั่นคงด้านหลักประกันสุขภาพ” ซึ่ง 30 บาทรักษาทุกโรคยังไม่ใช่ความยั่งยืน เพราะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่กระทบกับระบบการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์กับ “ภาระจำยอม” อีกมหาศาลของโรงพยาบาลและกระทรวง อีกทั้งในอนาคตอันใกล้ “สังคมสูงวัย” ของไทยจะเกิดขึ้นเต็มรูปแบบ คนเฒ่าที่แบกเอาโรคภัยไข้เจ็บสารพัดไว้ในตัว จะเป็นปัญหาที่ใหญ่มากที่ประเทศชาติจะทิ้งเขาไม่ได้ แถมสภาพส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชราและผู้ป่วยที่ไม่มีเงินทองจะรองรับโรคภัยของตนเอง สิ่งนี้เราจะคิดเตรียมการรับมือกันอย่างไร ต้องคิดร่วมกันแล้วนะครับ
9) ยังไม่รวมถึงแผนงานสุขภาพเชิงรุก ที่รัฐไม่เคยผลักดันจริงจัง เช่น เอาองค์ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพเข้าสู่ห้องเรียนอย่างมีคุณภาพ และไปถึงประชาชนที่พ้นจากห้องเรียนแล้วอย่างเป็นระบบ จนประชาชนตกเป็นเหยื่อของอาหารเสริม สมุนไพรไร้มาตรฐาน และการโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณสารพัด โดยไม่มีการจัดการ ปล่อยให้ประชาชนสุ่มเสี่ยงเอาเองท่ามกลางความไม่รู้และไม่แสวงหาความรู้ คุยกับหมอก็ไม่เชื่อหมอ เชื่อ “เจ้ากรมข่าวไลน์” มากกว่า จึงพบว่าปัจจุบัน มีรายการวิทยุโทรทัศน์ประเภท “ชัวร์ก่อนแชร์” ออกมามากมาย โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ ว่าด้วยความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาหารและสมุนไพรสูตร “เจ้ากรมข่าวไลน์” ซึ่งผุดขึ้นมาทำหน้าที่แทน “ยาผีบอก” เป็นยา “ไลน์บอก” ในยุคนี้ทั้งสิ้น
10) กลับมาที่โครงการ “ก้าวคนละก้าว” สามารถบริจาคเงินในโครงการ ก้าวคนละก้าว ได้ตามช่องทางนี้
• บัญชีรับบริจาค : ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขารัชโยธิน ชื่อบัญชี มูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในพระราชูปถัมภ์ฯ (โครงการก้าวคนละก้าว) เลขที่บัญชี 111-393-5263(กระแสรายวัน)
• SMS : บริจาคครั้งละ 10 บาท พิมพ์ T แล้วกดส่งมาที่ 4545099 (เฉพาะเครือข่าย เอไอเอส, ดีแทค และทรู มูฟ เอช) ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์
ขณะเดียวกัน โลกออนไลน์ก็ได้ส่งต่อข้อความของ “เดวิด บุญทวี” ที่โพสต์ถึง ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ในฐานะลูกศิษย์ที่ชื่นชมอาจารย์เสมอมา โดยอ้างถึงการแชร์ข้อความของสุเจนมา แล้วกำกับด้วยคำว่า “โลกสวยๆ what a beautiful world! โลกสวยๆ what a beautiful world !” โดยมีเนื้อความว่า
“David Boonthawee 11 ตุลาคม เวลา 23.29 น.” สามสี่ปีมานี้ ผมชักสงสัยว่าอาจารย์ชาญวิทย์ของผมท่านไม่น่าจะใช่ “อาจารย์ชาญวิทย์ตัวจริง” แต่เป็นตัวปลอมที่สวมหน้ากากหนังหน้าของท่านได้อย่างแนบเนียน (คล้ายๆ ในหนัง Mission Impossible นั่นแหละ)
สมัยที่ผมเรียนกับท่านที่ท่าพระจันทร์ ท่านเป็นคนมีเหตุมีผล มีมุมมองความคิดที่น่าทึ่งและน่านับถือ มีใจเป็นธรรม เป็นนักวิชาการมืออาชีพ เสมอต้นเสมอปลาย มีวุฒิภาวะ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ กระทั่งยังเป็น “โจนาธานชาญวิทย์” ของเหล่านักอ่าน (ท่านเป็นคนแปลหนังสือ “โจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล” และทำให้นกอิสระตัวนี้โบยบินอย่างสง่างามในสังคมปัญญาชนไทย แม้คุณชายคึกฤทธิ์จะเคยแปลมาก่อน แต่ก็ไม่ลอยลมเท่าฉบับของอาจารย์ชาญวิทย์)
ในฐานะนักเรียนประวัติศาสตร์ที่เป็นศิษย์โดยตรงของท่าน ผมกล้าพูดด้วยความภาคภูมิใจว่าผมเคยมีช่วงเวลาที่สนิทกับท่านไม่น้อยกว่าใคร
ผมเคยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยท่านหาเสียงตอนท่านสมัครเป็นคณบดีและอธิการบดี เคยออกภาคสนามในวิชาเรียนประวัติศาสตร์ไทย เคยร่วมเดินทางทัศนศึกษาประเทศเพื่อนบ้าน ยังไม่ต้องพูดว่าเคยนั่งสนทนาแกล้มเบียร์กับท่านไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ด้วยความที่เคยคลุกวงในกับท่านมาเก่าก่อน ผมจึงสงสัยไม่หายว่าพฤติกรรมและความคิดเห็นของท่านในช่วงหลายปีหลังมานี้ มันไม่น่าจะใช่อาจารย์ชาญวิทย์ตัวจริง ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าอาจารย์ชาญวิทย์ที่ผมเคยรู้จักและเคารพนับถือคนนั้นถูกอุ้มหายไปไหน
ถ้าใครพอจะติดต่อท่านได้ ก็ฝากเรียนท่านด้วยนะครับว่าตอนนี้อาจารย์ชาญวิทย์ตัวปลอมกำลังทำให้อาจารย์ชาญวิทย์ตัวจริงเสียชื่อเสียงเสื่อมสิ้นเกียรติยศศักดิ์ศรี แม้แต่ลูกศิษย์ลูกหาที่เคยนิยมยกย่องท่านอย่างสูงก็ยังต้องส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาและปลงอนิจจัง
ทั้งหมดนี้เกิดจากใครก็ไม่รู้ที่ปลอมตัวเป็นท่านออกมาให้ความเห็นทางการเมืองแบบ “เฒ่าทารก” ที่สุดแสนจะงี่เง่า ไร้รสนิยม ไม่ประเทืองปัญญาหรือห่าอะไรทั้งสิ้น กระทั่งยังทำให้ฝ่าย “ลิเบอร่าน” ที่ควรจะดูฉลาด มีความคิดความอ่านที่ก้าวหน้า ลึกซึ้ง ดูเป็นปัญญาชนที่น่าเลื่อมใส ต้องกลายเป็น “ลิเบอโง่” เสร่อ ดักดาน ต่ำชั้น เสียหมา เสียชาติเกิดไปด้วย
(ตัวอย่างของ “ลิเบอร่าน” ที่กลายเป็น “ลิเบอโง่” ขอให้ดูโพสต์ของนักเขียนสารคดีที่อาจารย์ชาญวิทย์ตัวปลอมแชร์มาในภาพประกอบ ความเห็นที่เหมือนจะดูดี มีความห่วงใยสังคม และกำลังจะจัดหนักภาครัฐที่เน่าเฟะ (ภาครัฐทุกยุคทุกสมัยล้วนเน่าเฟะไม่ต่างกัน ขอให้ดูภาครัฐสมัยนายกฯ สองพี่น้องเป็นกรณีศึกษา) ต้องกลายเป็นความเห็นกระจอกงอกง่อย ต่ำชั้น เพราะความ “ร่าน-ริษยา” มันแพลมออกมา
ด้วยความเคารพ “อาจารย์ชาญวิทย์ตัวจริง” จาก “ลูกศิษย์ตัวจริง” ของท่าน”
...
“ต่างคนต่างมีหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำเฉพาะหน้าที่นั้น เพราะว่าถ้าคนใดทำหน้าที่เฉพาะของตัว โดยไม่มองไม่แลคนอื่น งานก็ดำเนินไปไม่ได้ เพราะเหตุว่างานทุกงานจะต้องพาดพิงกัน จะต้องเกี่ยวโยงกัน ฉะนั้น แต่ละคนจะต้องมีความรู้ถึงงานของผู้อื่นแล้วช่วยกันทำ”
พระราช ดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ คณะบุคคลต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนพรรษา 4 ธันวาคม 2533
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี