เรื่องสำคัญที่ทั่วทั้งประเทศจำเป็นจะต้องหยิบยกขึ้นมาดำเนินการให้สำเร็จเป็นมรรคผลโดยเร็วที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ การสนองพระราโชบายข้อแรกในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงมีรับสั่งกับนายกรัฐมนตรีว่าทรงห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และทรงมีรับสั่งให้ช่วยเหลือตามมาตรการต่างๆ ด้วยความรวดเร็วและทั่วถึง ซึ่งทรงมีรับสั่งด้วยว่าสิ่งใดที่สถาบันจะช่วยได้ ก็จะพระราชทานความช่วยเหลือมาให้ อย่างที่ทรงทำในปัจจุบัน
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่ออาณาประชาราษฎร์ไทยเป็นที่สุด โดยเฉพาะความที่ทรงห่วงหาอาทรอาณาประชาราษฎร์ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัยชนิดที่เรียกว่าซ้ำซากจำเจอยู่ทุกปี ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เช่นนั้น ประหนึ่งว่าไม่ได้รับความสนใจแก้ไขหรือมิฉะนั้นก็แก้ไขไปแต่พอเป็นพิธี มิได้คำนึงถึงผลสำเร็จที่แท้จริง
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ผมได้กราบบังคมทูลอธิบายถวายให้ทรงทราบแล้วว่า รัฐบาลกำลังมีโครงการต่างๆจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงริเริ่มไว้มาหลายสิบปี ซึ่งบางโครงการก็ยังไม่สำเร็จหรือยังไม่ครบ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การทำ แต่อยู่ที่ประชาชนที่มีส่วนได้เสียในที่ดิน หรือพื้นที่ส่วนบุคคลซึ่งในวันที่ 9 สิงหาคม 2560 จะหารือกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำในเรื่องดังกล่าว”
ก็เป็นการนำความจริงมาวางเบื้องหน้าว่า โครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงริเริ่มไว้หลายสิบปีที่ยังไม่สำเร็จก็มี หรือยังไม่ครบก็มี และจำเป็นจะต้องดำเนินการต่อไปให้สำเร็จ
ก็เป็นธรรมดาที่เรื่องราวทั้งหลายย่อมต้องมีอุปสรรค ย่อมต้องมีปัญหาที่จะต้องแก้ไขให้ตกไป ซึ่งปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายนั้น มีไว้เพื่อให้แก้ไข ขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่แก้ไขปัญหาเหล่านั้นมีสติปัญญาความสามารถและรับผิดชอบจริงจังจริงใจหรือไม่เพียงใด
และย่อมแน่นอนว่า ทุกเรื่องราวในกระบวนการพัฒนาย่อมมีประชาชนเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ดังนั้นการทำความเข้าใจอย่างถูกต้องกับประชาชน การเยียวยาเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน และการหาทางออกให้กับปัญหาให้กับประชาชน เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อสติปัญญาความสามารถ
การที่นายกรัฐมนตรียอมรับว่าแม้บางโครงการทรงริเริ่มไว้หลายสิบปีแล้วแต่ยังไม่สำเร็จหรือยังไม่ครบ ก็แสดงอยู่ในตัวว่ามีปัญหาอยู่ และปัญหานั้นก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ทั้งรัฐบาลและหน่วยงานที่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เพราะในด้านประชาชนนั้นเป็นผู้ได้รับผลของการแก้ปัญหา ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหา ซึ่งหากว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาได้ดำเนินการอย่างจริงจังและถูกต้อง มีหรือโครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มไว้จะไม่ประสบความสำเร็จ
แต่ทว่าในยุคสมัยที่นักการเมืองมีอำนาจในบ้านเมือง ปากก็ว่าจะสนองโครงการตามพระราชดำริ แต่แท้จริงก็ทำแต่เพียงเป็นพิธี มิหนำซ้ำบางรัฐบาลก็คิดอ่านบั่นทอนพระบารมี ได้ดำเนินการหลายประการที่จะไม่ให้โครงการตามพระราชดำริมากหลายประสบความสำเร็จในการอำนวยประโยชน์สุขแก่ประชาชน
ถึงขั้นตัดงบประมาณหรือโยกย้ายผู้ที่มีความตั้งใจสนองพระราชดำริให้พ้นไปจากหน้าที่รับผิดชอบ หรือทำการเบียดเบียนโครงการพระราชดำริก็มีปรากฏให้เห็นในหลายโครงการ นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่แผลใหญ่ในใจลึกของประชาชนก็ยังทรงจำไว้ไม่ลืมเลือน และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะต้องเยียวยารักษาแผลใจนี้ให้สำเร็จ
ก็ไม่ทราบว่าหลังจากการที่นายกรัฐมนตรีหารือกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2560 แล้ว ปรากฏผลเป็นอย่างไร และการดำเนินการเรื่องนี้ก้าวหน้าไปเพียงใด
ความจริงแล้วการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากอุทกภัยในภาคเหนือและภาคอีสานนั้น แม้ว่าจะเป็นการกล่าวถึงเฉพาะอุทกภัย แต่แท้จริงปัญหาภัยแล้งก็เกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกันกับปัญหาอุทกภัย
ปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในภาคเหนือและในภาคอีสานมีสาเหตุมาจากสามประการใหญ่คือ
หนึ่ง มีการทำลายผืนป่า ทำให้ผืนป่าไม่สามารถกักเก็บน้ำหรือชะลอน้ำในเทศกาลหน้าฝน ฝนหลั่งลงมาเท่าใด น้ำก็ไหลเทลงสู่ที่ลาดที่ต่ำอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นอุทกภัยขึ้น หรือถ้าพูดแบบสำนวนกะล่อนของนักการเมืองก็คือเกิดภาวะน้ำรอระบายไปทุกหนทุกแห่ง ทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
สอง แม่น้ำ สายธาร และแหล่งน้ำทั้งหลายจำนวนมากทั้งในภาคเหนือและภาคอีสานตื้นเขิน ไม่เคยได้รับการขุดลอก บ้างก็ถูกทับถมเพื่อใช้ในการอย่างอื่น จึงไม่สามารถรองรับน้ำได้ตามปกติ น้ำจึงไหลบ่าลงสู่พื้นราบด้านล่างจนเกิดเป็นอุทกภัย
สาม มีการทำโครงการจัญไร คือการสร้างถนนขวางเส้นทางน้ำในทุกจังหวัด ทุกพื้นที่ทั่วภาคเหนือและภาคอีสาน แต่ไม่ได้ทำทางระบายน้ำ หรือทำบ้างก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นเมื่อน้ำไหลหลากมาก็ไม่มีทางระบาย จึงบ่าท่วมจนกระทั่งระดับสูงกว่าถนน และทำให้ถนนพังพินาศ น้ำจึงไหลออกไปได้ ซึ่งเรื่องนี้ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงแก้ไขปัญหาให้เป็นแบบอย่างมาแล้วที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
เพราะเหตุสามประการดังกล่าวจึงเป็นเหตุให้เกิดอุทกภัย และในพลันที่สิ้นฤดูฝนทุกท้องที่ก็ไม่มีแหล่งน้ำที่จะกักเก็บน้ำไว้ได้ จึงก่อเกิดภัยแล้งในไม่กี่วันหลังจากสิ้นฤดูฝน และเพราะความแห้งแล้งนั้นจึงทำให้ผืนป่าที่หลงเหลืออยู่เกิดเป็นไฟไหม้ป่าขยายเป็นวงกว้างและเกิดความเสียหายมากขึ้นทุกปี
ดังนั้นหากแม้นมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้ไขปัญหานี้ จึงต้องแก้ปัญหาพร้อมกันทั้งเรื่องอุทกภัย ภัยแล้ง รวมทั้งไฟป่า ซึ่งต้องบูรณาการให้มีหน่วยงานที่แก้ไขเป็นหน่วยงานเดียวกัน ทั้งต้องเป็นผู้มีสติปัญญาความสามารถจริงจังและจริงใจในการแก้ไขปัญหานี้ จึงจะสามารถสนองพระราโชบายข้อแรกของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ประสบความสำเร็จได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี