l เดือนตุลา เรื่องที่ควรจะเน้นกัน ก็หนีไม่พ้นเรื่องของ “คนเดือนตุลา”ที่ถูกกล่าวขวัญอ้างอิงในสังคมมายาวนาน
ส่วนใหญ่ สื่อ นักวิชาการและคนภายนอก เป็นคนเรียกขานถึง แต่มีบางส่วนก็กล่าวถึงตัวเองว่าเป็นคนเดือนตุลา เพราะ “คนเดือนตุลา” เป็นคนประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย ที่มีบทบาทผลงานเพื่อบ้านเมือง เป็นที่ยอมรับ แต่ความเป็นจริง หลังจากเหตุการณ์ผ่านไป แต่ละคนก็พัฒนา
หรือแปรเปลี่ยนไปตามอุดมการณ์หรืออุดมกิน มีดีมีชั่วเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ซึ่ง “ยี่ห้อคนเดือนตุลา” ไม่สามารถประกันว่า จะคงอุดมคติไปตลอดกาลได้
l เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงความเป็นจริง เราต้องมาทำความเข้าใจกับ “ที่มาที่ไปของคนเดือนตุลา” กัน มีหลายเรื่องราวและหลายประเด็น ที่เกี่ยวข้องกับคนในประวัติศาสตร์ช่วงนี้
1.ช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ แบ่ง 2 ช่วง คือ ช่วงแรก 2510-2516 และช่วงหลัง 2516-2519
1.1 คนในช่วงแรก อยู่ในยุคเผด็จการสู้เพื่อประชาธิปไตย พัฒนาการความคิด กำลัง การสร้างความร่วมมือทั้งในระดับมหาวิทยาลัย ที่มีฝ่ายสโมสรนิสิตนักศึกษาของคนส่วนใหญ่ และกลุ่มอิสระที่รวมตัวของคนส่วนน้อย ลักษณะสำคัญคือ “กลุ่มอิสระ” จะมีความเด่นเรื่องของความคิดนำสังคม คัดค้านต่อต้านมหาวิทยาลัยและสังคม “ฝ่ายสโมสรนิสิตนักศึกษา” จะสามารถสร้างการยอมรับและนำพานักศึกษาส่วนใหญ่
เข้าร่วมผ่านคณะต่างๆ หรือกล่าวง่ายๆ ว่า “ฝ่ายสโมสรมีอำนาจหน้าที่ และฝ่ายกลุ่มอิสระมีแนวคิด” ในช่วงต้นๆ ทั้งสองส่วน จะมีความขัดแย้งกัน เพราะมองปัญหาภายในมหาวิทยาลัยต่างกัน แต่ในช่วงที่แหลมคมมีความคิดตรงกันในการต่อต้านเผด็จการทหารที่สั่งจับ “13 กบฏเรียกร้องรัฐธรรมนูญ”
คนในรุ่นหรือช่วงนี้ จะเป็นพลังบริสุทธิ์ ที่มีการพัฒนาเป็นขั้นตอน จนถึงออกมาต่อต้านและสู้กับเผด็จการ
สรุป คือ เป็นคนก่อนและร่วมในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นช่วงชัยชนะของประชาชน
1.2 คนในช่วงที่สอง จะอยู่ในยุคของประชาธิปไตยเบิกบาน โดยมีกระแสสังคมนิยมเข้ามามากอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น สร้างสรรค์ผลงาน การเผยแพร่ประชาธิปไตยให้คนตื่นตัวมาก ทำให้มีความคึกคักเร้าร้อนในความเป็นธรรม จึงมีลักษณะรุนแรงขึ้น เพื่อให้บรรลุการเปลี่ยนแปลงโดยเร็ว ขณะเดียวกัน ก็มีการแทรกของกระแสซ้ายของพรรคคอมมิวนิสต์ และกระแสสังคมนิยมจีนและอินโดจีน ในขณะที่ กระแสของกลุ่มอนุรักษ์เริ่มตั้งหลักได้ และออกมาตอบโต้ต่อต้านประชาชนนักศึกษาอย่างหนัก จนก่อให้เกิด“เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519“ อันเหี้ยมโหดที่ชนชั้นปกครองปราบและสังหารนักศึกษาประชาชน
สรุปคือ เป็นคนหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ถึง 6 ตุลา 19 เป็นความพ่ายแพ้ของประชาชน(นักวิชาการบางส่วน)
2.ช่วงเวลาในการเดินทางสายประชาชนร่วมกัน (2516-2519 และ 2519-2544 )
คนทั้งสองยุคของเหตุการณ์ที่มีอุดมคติและพลังสร้างสรรค์ ที่ถูกขนานนามร่วมกันว่า “คนเดือนตุลา” คือ การร่วมมือและเดินไปบนหนทางประชาชน ที่ช่วงแรกเน้นแนวคิดสังคมนิยม เคลื่อนไหวอย่างมีพลัง ทั้งในเหตุการณ์ช่วง 2516-2519 (6 ตุลา) และช่วงการเดินหนทางต่อสู้ด้วยอาวุธใช้ชนบทล้อมเมืองกับ พคท.
แต่หลังจากไม่บรรลุเป้าหมาย คนที่ออกมาและคนที่อยู่ในเมือง เริ่มลดพลังความเร้าร้อนลง มีการแยกสายกันไป บางส่วนยุติบทบาท บ้างทำธุรกิจ มีบ้างประสบความสำเร็จสูง บางส่วนเข้ารับราชการและบางส่วนที่เข้าสู่การเมือง แต่ทิศทางส่วนใหญ่ ยังคงร่วมทางกัน โดยแสดงออกในบทบาทของชนชั้นกลางในเหตุการณ์พฤษภา 2535 มีส่วนที่ทำงานภาคประชาชน-เอ็นจีโอ และบางส่วนไปสู่พรรคการเมือง เช่น พลังธรรม ปชป. ความหวังใหม่ฯ ยังมีการร่วมมือกัน คือ การร่วมรณรงค์ธงเขียว คือ รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2540 จนมาถึง ยุคทักษิณ 2544
3.ช่วงสายลมเปลี่ยนทิศสายน้ำแยกสาย ในยุคทักษิณและนอมินี ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน
ความจริง มีการเริ่มก่อตัวตั้งแต่ทักษิณถูกพลตรีจำลองเชิญมาเป็นรมว.ต่างประเทศและหัวหน้าพรรคพลังธรรม ทักษิณเข้ามาด้วยตัวคนเดียว แต่มีพร้อมด้วยวิสัยทัศน์ ทุนมหาศาล บุคลากรและเครื่องมือเพียบ สามารถดึง สส.พลังธรรมไปได้ร่วม 10 คน จากกรรมการบริหาร 25 คน มีทั้งคน 6 ตุลา สุธรรม แสงประทุม และคนที่เพิ่งเริ่มเข้ามาเป็นสส.พลังธรรมในช่วง “จำลองฟีเวอร์” เช่น สุดารัตน์และชาวพลังธรรมบางส่วน
ส่วนคนเดือนตุลาทั้ง 14 ตุลา และ 6 ตุลา ที่เข้าร่วมสังฆกรรมรับใช้นายทักและหญิงอ้อ ก็มีความแตกต่าง เริ่มจาก บางส่วนทำงานให้กับบริษัทในเครือ เช่น หมอมิ้งฯ, ทำงานกินเงินทักษิณ เช่น ภูมิธรรม สมาน ฯลฯ และคนบางส่วน ที่ไม่เห็นด้วยหรือแปลกแยกกับทักษิณในช่วงแรกๆ แต่ต่อไปเข้าไปเต็มตัว อย่าง จาตุรนต์ ซึ่งคนเหล่านี้ก็ดึงพวกพ้องคนเดือนตุลาบางส่วนเข้าไปร่วมทำงาน บ้างมีเงินเดือน บ้างมีตำแหน่ง ฯลฯ
นี่คือ การเปลี่ยนแปลงของคนเดือนตุลา ซึ่งไม่ขอสรุปเหมารวมว่า “ใครถูกใครผิด”
มีนักวิชาการและคนเดือนตุลา เสนอประเด็นที่น่าคิดว่า “ใครเปลี่ยน ระหว่างทักษิณกับคนเหล่านี้” ช่วงแรกมีการนำเสนอวาทกรรมให้ตัวเองดูดี “ร่วมกับทุนสามานย์โค่นศักดินา แล้วไปล้มทุนสามานย์”
ในแง่ของความคิด ส่วนหนึ่งยังคงมีอุดมคติเพื่อบ้านเมือง แต่ต้องใช้วิธีการตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป แต่อีกส่วนหนึ่ง คนส่วนหนึ่งก็มีความคิดอคติต่อสถาบันหลักและทหารรวมทั้งระบบราชการ น่าแปลกที่ว่า “ช่วงมีบทบาทสูงเป็นรองนายกฯเป็นรัฐมนตรี เป็นสส.” ยังคงร่วมมือกับคนที่ถูกกล่าวอ้าง สิ่งที่เห็นและปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ฐานะความเป็นอยู่และบทบาทที่สูงขึ้น ต่างห่างไกลจากประชาชน ยังมีการใช้ระบบอุปถัมภ์ในหมู่พวกพ้องที่ถูกดึงไปร่วมงาน ที่ได้งานมูลค่าสูงเป็นการตอบแทน
หลักคิดที่สำคัญคือ “วิธีการไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมาย” ขอให้บรรลุเดินทางถึงฝั่งประชาธิปไตย ???
4.คนอีกส่วนหนึ่งที่เข้าสู่พรรคการเมือง กลายเป็นนักการเมืองอาชีพ ในพรรคการเมืองต่างๆ
มีคนจำนวนหนึ่งที่มีอุดมคติและอยากจะรับใช้บ้านเมือง ก็เดินเข้าสู่การเมืองแบบเลือกตั้งเป็นหลัก มีเพียงบางส่วนที่เดินทางสายนี้ ที่สามารถรักษาอุดมคติและท่วงทำนองเรียบง่ายเอาจริงในการทำงาน เหตุเพราะ “ระบบการเมืองและระบบพรรคการเมืองไทย” ไม่ได้เอื้อต่อ การมีอุดมคติที่แท้จริง ต้องทำตามกระแสและสภาพสังคมที่เป็นระบบอุปถัมภ์ ให้ได้คะแนนเสียงเพื่อเป็นสส. ต้องใช้เงินทุนสูง และเพราะแทบจะไม่มีพรรคใด ที่เป็นพรรคมวลชนและรับใช้ประชาชนได้อย่างแท้จริง
ที่ปานกลาง คือพรรคที่มีผู้นำมีแนวคิดประชาธิปไตย แต่ที่มีก็ล้วนเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตก ที่มีการพัฒนาก้าวหน้าไปกว่า สังคมไทยที่ยังเป็นระบบอุปถัมภ์และบริโภคนิยมฯ ซึ่งต้องประยุกต์ให้สอดคล้อง
5.ส่วนที่ทำงานภาคประชาชน เอ็นจีโอ เป็นนักวิชาการ ทำงานภาครัฐ ยังคงสามารถทำตามอุดมคติได้ แต่บางส่วนติดกรอบคิดอคติมองเชิงลบต่อรัฐข้าราชการ กลุ่มทุนและทหาร อัน เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
6.โดยสรุปคนเดือนตุลาเหล่านี้ บทบาทลดลงในสังคม แต่ก็ยังเป็นแบบอย่างต่อคนรุ่นหลังที่ก้าวตาม ซึ่งน่าจะได้สรุปและถอดบทเรียนในข้อดีที่สามารถทำตามอุดมคติอุดมการณ์ที่ดีได้ และข้ออ่อนที่ไม่ควรทำตาม
แต่มีคนส่วนหนึ่งที่ยังคงเดินเส้นทางสายประชาชนเดินดินกินข้าวแกง ที่มีชีวิตเรียบง่าย ซื่อตรงและเคารพผู้คน ไม่แปรเปลี่ยนคล้อยไปตามกระแสทุน-การเมือง คงมีความสุขกับการทำงานหนักเอาจริงในชีวิตที่เหลืออยู่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี