ช่วงสิบกว่าวันที่ผ่านมามีการแถลงแก้ข้อกล่าวหาเกือบจะเป็นรายวันว่า รัฐบาลไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับเจ้าสัว ซึ่งนี่ต้องถือว่าเป็นผลอันเกิดจากเหตุ และเหตุที่ต้องมาแถลงก็คือมีคำครหานินทาว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับเจ้าสัวสารพัดสารพัน
การเอื้อประโยชน์ให้เจ้าสัวยิ่งมากเท่าใด เสียงครหานินทาก็จะมากขึ้นเท่านั้น และย่อมเป็นเหตุให้ต้องชี้แจงแถลงไขแก้ตัวกันจ้าละหวั่นว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้เจ้าสัวจนปากสั่นมือเป็นระวิงตามไปด้วย
ปมเงื่อนของเรื่องจึงอยู่ที่มีขบวนการยกประโยชน์แห่งชาติ เอาทรัพย์สมบัติของชาติและเอื้อประโยชน์ให้กับเจ้าสัวจริงหรือไม่ ถ้าไม่จริง คำแก้ตัวก็เป็นคำชี้แจงและย่อมเป็นที่เชื่อถือ แต่ถ้าจริงต่อให้ชี้แจงแถลงอย่างไร ก็ไม่มีใครเชื่อ ผลจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องที่สาธุชนจะต้องดูกันเอาเอง และเป็นเรื่องที่ใครทำเรื่องใดไว้ ก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไว้นั้น
ก็ให้ดูแบบอย่างผู้คนในระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นนายทุน เจ้าของพรรค หรือบริษัทบริวาร หรือญาติวงศ์พงศา หรือขี้ข้าม้าใช้ ที่กำลังถูกวิบากกรรมตามไล่ล่าและเผชิญวิบากกรรมกันอยู่มากมาย เป็นปัจจุบันตัวอย่างที่เห็นได้ชัดโดยไม่ต้องอธิบายกันอีก
ใครสร้างกรรมทำชั่วไว้กับบ้านเมืองโดยไม่ยอมสำนึกสำเหนียกว่าแผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชมีจริง ก็ให้เตรียมรับชะตากรรมเช่นนั้นได้ เพราะวิบากกรรมนั้นไม่มีใครหนีไปได้พ้น แม้อาศัยความตายหนีไปก่อน ลูกหลานข้างหลังก็จะต้องรับกรรมต่อ เพราะระบบกฎหมายปัจจุบันนั้นรัฐสามารถไล่ล่ายึดกลับคืนได้ แม้กระทั่งโอนไปถึงไหนต่อไหนก็ตามที
ที่ต้องกล่าวถึงในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่มีข่าวตามโซเชียลมีเดีย แม้กระทั่งทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ จนเกิดการนินทากันทั้งบ้านทั้งเมือง ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แม้กระทั่งอาจเป็นเรื่องที่ปกติ คนทั้งหลายก็มักจะมองข้ามไป
แต่เพราะทำกันเป็นอุตสาหกรรมในครอบครัว หรือบริษัทบริวารกันจนอึกทึกครึกโครม จึงเป็นข่าวเกรียวกราวในบ้านเมือง ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นสองเรื่อง คือ
เรื่องแรก เกี่ยวกับเรื่องการจัดอีเว้นท์ ซึ่งจัดกันทุกวันและในแทบทุกหน่วยงาน เอะอะจะทำอะไรสักหน่อยหนึ่งก็ต้องจัดอีเว้นท์ บางหน่วยงานจัดอีเว้นท์กันเดือนละหลายครั้ง และใช้งบประมาณกันอย่างเพลิดเพลิน เพราะเข้าใจไปว่าเมื่อจัดเสร็จไปแล้วก็หาหลักฐานอะไรไม่ได้ เรื่องราวก็จะผ่านพ้นไป จะใช้เงินกันอย่างไร จะได้ผลอย่างไร แทบจะไม่มีใครใส่ใจติดตาม
แต่เมื่อทำกันมากเกินไปจนเกินพอดี ก็เป็นที่สังเกตของผู้คน เพราะคนพวกหนึ่งก็วิ่งเต้นเพื่อจะได้จัดงานอีเว้นท์บ้าง ในที่สุดก็จะพบเส้นสายเจ้าประจำ ซึ่งมีฤทธิ์เดชอยู่ทุกหน่วยงาน ก็เกิดการต่อสู้ขับเคี่ยวกัน จากนั้นก็มีข่าวเอาไปนินทากันเป็นทอดๆ จนกึกก้องกระหึ่มไปทั้งบ้านทั้งเมือง
เรื่องที่นินทามีสองประเด็น คือประเด็นเรื่องเงินทอน ซึ่งนินทากันว่ามีเงินทอนถึง 9 ใน 10 ส่วน เช่น งบประมาณจัดอีเว้นท์ 10 ล้านก็มีเงินทอนถึง 9 ล้านบาท เป็นต้น อีกเรื่องหนึ่งก็คือการไม่เป็นอันคิดอ่านทำราชการให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองและราษฎร เพราะสาละวนกับการจัดอีเว้นท์ เนื่องจากจัดแล้วก็มีคนเออออห่อหมกด้วยเป็นอันมาก โดยเฉพาะคนมีอำนาจในบ้านเมือง ในหน่วยงาน และวงงานที่เกี่ยวข้อง
ยิ่งมีการว่าจ้างสื่อตีฆ้องให้ครึกโครมก็จะกลายเป็นผลงานโดยที่ไม่ต้องมีเนื้องานจริงๆ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องสะกิดใจยั้งคิดตรวจสอบกันเสียบ้าง ว่าจำเป็นแก่ราชการหรือไม่ ใช้งบประมาณเกินไปหรือไม่ และที่เขานินทากันเรื่องเงินทอนนั้นมีมูลความจริงบ้างหรือไม่
เรื่องที่สอง เรื่องการทำบัตร ซึ่งถ้าหากเป็นเรื่องเมื่อสิบปีก่อนก็ยังพอรับกันได้ แต่มาถึงวันนี้การทำบัตรโดยเฉพาะบัตรที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบฝังชิพเพื่อเชื่อมโยงกับระบบสารสนเทศกำลังถูกท้าทาย เพราะพัฒนาการของระบบสารสนเทศนั้นทำให้ระบบที่ใช้บัตรเป็นของล้าสมัย เป็นเรื่องยุ่งยากและมีราคาแพง โดยรวมก็คือไม่คุ้ม
แต่พักหลังนี้กลับกลายเป็นว่ามีการทำบัตรกันจ้าละหวั่นไปหมด เอะอะก็จะทำบัตร ดังเช่น บัตรคนจน เป็นต้น ซึ่งเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์เพื่อบรรจุข้อมูลว่าเป็นคนจนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนไว้ รวมถึงการได้รับเงินรายเดือนและการจ่ายเงินนั้น
ที่เขานินทาก็คือเป็นการแสดงความโง่ให้ปรากฏต่อโลกหรือไม่ เพราะในปัจจุบันนี้บัตรประจำตัวประชาชนก็ฝังชิพอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถรองรับข้อมูลกระจอกงอกง่อยแบบนี้ได้โดยง่ายดายและมีอยู่แล้ว ทำไมจึงไม่ใช้ หรือว่าใช้ไม่ได้
แม้หากจะใช้ไม่ได้ก็ไม่จำเป็นจะต้องทำบัตรอิเล็กทรอนิกส์อีกแล้วเพราะเสียเงินเปล่านับพันล้าน เนื่องจากสามารถใช้วิธีที่ฉลาดกว่าได้ เช่น ใช้ระบบ QR Code โดยผ่านมือถือ ซึ่งมีกันแทบทุกคน หรือโอนเงินไปให้กับผู้รับโดยตรง ก็สามารถใช้จับจ่ายใช้สอยในท้องถิ่นได้ หรือแม้จะเก็บไว้ทำบุญบ้างก็ยังได้
เมื่อใช้บัตรแบบนี้แล้วก็ต้องมีเครื่องรูดบัตร ซึ่งผู้รับบัตรก็จะต้องไปซื้อหาด้วยราคาราวเครื่องละ 20,000 บาท และร้านใดไม่มีเครื่องรูดบัตรก็รับเงินไม่ได้ ขายไม่ได้ ประโยชน์จึงตกอยู่ที่คนขายเครื่องรูดบัตร และกิจการที่สามารถใช้เครื่องรูดบัตรได้และแน่นอนต้นทุนก็ย่อมมาบวกเอากับสินค้าที่ขายให้กับผู้ใช้บัตร
จับตากันให้ดีๆว่าขณะนี้กำลังมีโครงการที่จะทำบัตรแบบนี้กันสารพัดเรื่อง แล้วใครที่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้?
ก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองกันให้ดีว่าจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้ขยายตัวจนเป็นที่ติฉินนินทากันทั้งบ้านทั้งเมืองต่อไป หรือว่าจะใช้ความระมัดระวังในการพิจารณาและกำหนดโครงการให้มากกว่าที่เป็นอยู่ จะได้ไม่เสียเวลาแก้ตัวว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับเจ้าสัวเหมือนกับที่เป็นอยู่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี