การปฏิรูปใหญ่ในกิจการพระพุทธศาสนากำลังเคลื่อนตัวไปอย่างมีชีวิตชีวาและพลังการปฏิรูปได้กลายเป็นพลังหลัก ในขณะที่พลังอลัชชีเดียรถีย์หรือกลุ่มโจรผ้าเหลือง รวมทั้งขบวนการอั้งยี่ที่เกาะกินวัด เกาะกินศาสนามาช้านานแล้ว กำลังถูกกวาดล้างตรวจสอบและชำระสะสาง
เป็นสัญญาณหมายของการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทยเพราะถ้าบ้านเมืองไม่สามารถฟื้นฟูการพระศาสนาให้เป็นปกติได้ ผู้คนย่อมไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ก็ไม่อาจหวังแก้ไขปัญหาหรือการปฏิรูปใดๆได้
เมื่อครั้งองค์พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทรงปราบดาภิเษกแล้ว จึงทรงตั้งพระบรมราชปณิธานหรือนัยหนึ่งก็คือทรงกำหนดยุทธศาสตร์ชาติเป็นสามแนวทาง คือ การพระศาสนา ความมั่นคงแห่งรัฐ และการบำรุงอาณาประชาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข
ดังพระบรมราชปณิธานที่ว่า
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
จะปกป้องของขัณฑสีมา จะบำรุงประชาและมนตรี”
ในยามรุ่งอรุณแห่งรัชกาลปัจจุบัน หลังจากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายคณะสงฆ์ว่าด้วยการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และทรงสถาปนาสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ขึ้นเป็นที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกแล้ว แสงแห่งพระพุทธธรรมก็แผ่ปกคลุมไปทั่วพระราชอาณาจักร ก่อให้เกิดความยินดีปรีดาแก่อาณาประชาราษฎรเป็นล้นพ้น
เมื่อหวนมองไปในปี พ.ศ. 2535 ที่มีคณะบุคคลแอบอ้างเบื้องสูง ออกพระราชกำหนดแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ ยึดพระราชอำนาจที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชไปให้มหาเถรสมาคมแล้ว นับแต่นั้นความวิบัติและความเสื่อมสารพัดก็บังเกิดแก่กิจการพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง
ขบวนการเดียวกันนี้ได้ยึดพระอำนาจของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชขึ้นเป็นคณะผู้ใช้อำนาจของสมเด็จพระสังฆราชต่อเนื่องมา ทำให้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์และพระราชอำนาจของสมเด็จพระสังฆราชถูกยึดไปอยู่ในมือของกลุ่มบุคคล ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ยังทรงสามารถปฏิบัติพระราชภาระสมเด็จพระสังฆราชได้
แม้กระทั่งก่อนหน้านั้น ได้ทรงมีพระลิขิตถึงสี่ฉบับ มีพระวินิจฉัยและพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชว่า ธัมมชโยเป็นปาราชิก ต้องสึกโดยเด็ดขาด และต้องถือว่าขณะนั้นมีฐานะเป็นเพียงบุคคลเอาผ้าเหลืองมาห่มเท่านั้น
แต่กลุ่มอลัชชีเดียรถีย์กลับไม่นำพา และต่อมาก็มีการฝ่าฝืนพระวินิจฉัยและพระบัญชา บิดเบือนการใช้อำนาจ ทำให้พระบัญชาใช้บังคับไม่ได้ ทำให้การปฏิบัติตามกฎหมายคณะสงฆ์ดำเนินการไปไม่ได้ มิหนำซ้ำ ยังบังอาจตั้งให้ผู้ตกเป็นปาราชิกเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
และยังสมคบกันโดยมีอามิสเป็นของตอบแทน เสนอแต่งตั้งธัมมชโยขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นเทพ และสมรู้กันตั้งสมญานามเทียบเท่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าคือ ตั้งตนเป็นมหามุนีเสียเอง และจงใจไม่ใช้สมญาว่าเป็นเพียงสาวกหรือผู้สืบทอด ซึ่งต้องมีคำว่าวงศ์ต่อท้าย ดังเช่นนามสมณศักดิ์เดิมของสมเด็จพระสังฆราช ที่ใช้นามว่า“สมเด็จพระมหามุนีวงศ์” หมายถึงเป็นผู้สืบทอดพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า
และคณะบุคคลเหล่านั้นก็ยังร่วมกันสนับสนุนส่งเสริมให้ลัทธิธรรมกายซึ่งเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนาขยายตัวกว้างขวางไปทั่วประเทศ เห็นได้ชัดถึงความพยายามจะล้มล้างพระพุทธศาสนา ซึ่งก็คือการทำลายความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นเอง
เดชะบุญที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงภูมิธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา สามารถเจริญอิทธิบาทธรรมดำรงพระชนม์ชีพยาวนานจนถึงกาลร้อยปี ทำให้พวกที่มุ่งหวังจะแย่งชิงตำแหน่งต้องล้มหายตายจากและประสบชะตากรรมไปเองตามวิบากกรรมที่ทำไว้ทีละคนสองคน
จนกระทั่งถึงการวางแผนร้ายจัดประชุมมหาเถรสมาคมกลางดึก เพื่อเดินหน้าสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชกันตามที่วางแผนไว้ แต่การก็ไม่สำเร็จดังประสงค์เพราะมีพระราชบัญญัติแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ถวายคืนพระราชอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ และต่อมาก็ทรงสถาปนาสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
แม้ตามนั้นแล้วก็มีการขัดขวางการปฏิรูปกิจการพระศาสนาอย่างเข้มข้น โดยสมรู้กันทั้งฝ่ายการเมืองและบางกลุ่มในมหาเถรสมาคม โดยเฉพาะฝ่ายบริหารของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มิหนำซ้ำ ยังไม่ยอมหยุดยั้งการโกงวัดโกงศาสนา และการกระทำย่ำยีพระพุทธศาสนาต่อไป
จนกระทั่งเกิดเหตุข่าวฉาวโฉ่สะเทือนสะท้านไปทั้งอาณาจักรและพุทธจักรดังที่รู้กันอยู่ และบัดนี้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็มีตัวตนแน่นอนแล้ว การปรับปรุงองค์กรสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในส่วนกลางก็เกิดขึ้นแล้ว การตรวจสอบดำเนินการกับพวกโกงวัด โกงศาสนา และโกงชาติ ก็กำลังเดินหน้าไปอย่างคึกคัก
มาครั้งนี้ดูเหมือนว่ากลุ่มอำนาจทางการเมืองและในวงราชการบางแห่งที่ในอดีตเคยปกป้องคุ้มครองค้ำจุนขบวนการทำลายศาสนาเพื่อบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ง่อยเปลี้ยเสียขาลงโดยลำดับ ไม่กล้ายืดมือ ยืดขา ออกไปปกป้องคุ้มครองพวกพ้องอีกต่อไป
ดังนั้นสถานการณ์ปฏิรูปใหญ่ในกิจการพระพุทธศาสนาจึงเจิดจ้าขึ้นแล้ว และเพื่อต่อยอดจากสิ่งที่ได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ จำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องกำหนดจังหวะก้าวที่มีพลังและถูกต้อง เพื่อทำให้การฟื้นฟูกิจการพระพุทธศาสนาประสบความสำเร็จ และเป็นรากฐานอันสำคัญให้แก่ความมั่นคงของประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์สืบไป
การสำคัญที่จะต้องวางจังหวะก้าว นอกจากการชำระสะสางความสกปรกโสโครก ทั้งในวงผ้าเหลืองและไม่ใช่ผ้าเหลือง ซึ่งจะต้องดำเนินการต่อไปจนสิ้นกระแสความแล้ว เห็นจะมีดังต่อไปนี้
ประการแรก จะต้องปรับให้องค์กรบริหารของมหาเถรสมาคมสามารถบริหารกิจการพระศาสนาได้อย่างแท้จริง จะต้องดำเนินการให้กรรมการมหาเถรสมาคมประเภทลากตั้งที่ตั้งกันมาแบบสีเทาและมีเรื่องคาวฉาวโฉ่ตลอดมานั้นพ้นจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมที่มีคุณสมบัติ ที่เป็นพระดี พระเก่ง พระกล้า เข้ามาช่วยกิจการพระศาสนาได้
แต่ทว่าคนหน้าด้านบางจำพวกนั้นไม่มีทางที่จะสำเหนียกถึงมารยาทใดๆ ดังจะเห็นว่าเวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เกาะขาเก้าอี้ไว้แน่น และยังตั้งตนเป็นกลุ่มเสียงข้างมากที่น่าสยดสยองอยู่ต่อไป ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่จะต้องนำเสนอรองนายกรัฐมนตรีผู้กำกับและสั่งราชการเพื่อนำความกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชให้มีพระบัญชาให้กรรมการมหาเถรสมาคมประเภทลากตั้งพ้นจากตำแหน่ง และทรงแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมทดแทนตามพระราชอำนาจ และตามพระราชวินิจฉัย เพื่อช่วยบริหารกิจการมหาเถรสมาคมต่อไป
ประการที่สอง จะต้องรีบจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นการเฉพาะ ทำนองเดียวกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และอยู่ในบังคับบัญชาของหน่วยงานที่เหมาะสม เช่น สำนักราชเลขาธิการ หรือสำนักงานองคมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี ก็สุดแท้แต่จะเห็นเหมาะสม โดยรวมเอาสำนักงานศาสนสมบัติกลาง ทรัพย์สินของวัดร้าง ทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้แก่พระพุทธศาสนา หรือทรัพย์สินที่วัดมอบหมายให้บริหารจัดการ เข้ามาบริหารจัดการในองค์รวม โดยมีคณะกรรมการจัดการทรัพย์สินที่ปรีชาสามารถดูแลรับผิดชอบ และนำดอกผลเพื่อบำรุงบูรณะศาสนสถานหรือการศึกษาพระพุทธศาสนาต่อไป
ประการที่สาม จะต้องกำหนดให้ทุกวัดมีคณะกรรมการบริหารทรัพย์สินของวัด โดยผู้มีคุณสมบัติและมีความสามารถ ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ที่ไม่มีความรู้ความสามารถทำกันไปแบบที่ทำกันมา หรือมอบให้หลวงตาที่มีกำแพงพระวินัยขวางกั้นรับผิดชอบดังที่เป็นมา
ประการที่สี่ การปรับปรุงให้ทุกวัดต้องทำบัญชีรับจ่ายและบัญชีทรัพย์สินตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป และต้องมีสำนักงานตรวจสอบบัญชีที่มาตรฐานเป็นผู้ตรวจสอบและรับรองงบการเงินด้วย เพื่อการนี้ให้มีสมุห์บัญชีของวัดดูแลรับผิดชอบโดยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารทรัพย์สินของวัดด้วย
ประการที่ห้า ปรับปรุงกฎระเบียบว่าด้วยการให้อุปสมบท โดยเฉพาะการตรวจสอบคุณสมบัติบุคคล การแต่งตั้งคณะพระวินัยธรที่มีประสิทธิภาพในการชำระสะสางอธิกรณ์ต่างๆ อย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้ต้องไม่ให้ขบวนการอั้งยี่ที่บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาตลอดระยะเวลา 25 ปี เข้ามายุ่งเกี่ยวอีกต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี