ต่อตระกูล : เวลาเราได้ยินข่าวว่ารัฐบาลไปลงทุนโน่นลงทุนนี่ทีละเป็นล้านล้านบาท ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเงินของชาติมีมาก ใช้เท่าใดไม่มีวันหมด แต่ทำไมเวลารัฐบาลแถลงข่าวทีไรมักจะพูดว่าภาษีที่เก็บประชาชนนั้นไม่พอเพียงแค่เอาไปจ่ายเงินเดือนข้าราชการก็เกือบหมดแล้ว เหลืออีกปีละไม่กี่แสนล้านบาทที่จะนำมาใช้ก่อสร้างหรือลงทุนทำโครงการอะไรใหม่ๆได้
ฟังเรื่องราวจากสองทางแบบนี้
ชาวบ้านทั่วไปอย่างเราๆ เลยงงว่าที่รัฐบาลประกาศจะก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ หรือ เมกะโปรเจกท์ต่างๆเช่น โครงการของรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) ที่กำลังก่อสร้างเฉพาะในกรุงเทพฯและธนบุรี เป็นวงเงินอีกเป็นแสนกว่าล้านบาท และยังมีโครงการรถไฟฟ้าในภูมิภาคตามจังหวัดใหญ่ๆเช่น ภูเก็ต พังงา และเชียงใหม่ อีกหลายแสนล้านบาท
รัฐบาลไปเอาเงินเหล่านี้จะเอาจากไหนและจะมีเงินจากการประกอบการโครงการเหล่านี้มาใช้หนี้คืนได้หรือไม่
ที่ถามคำถามแบบนี้ ไม่ใช่จะต่อต้านการลงทุน แต่อยากมั่นใจว่ารัฐบาลจะลงทุนให้คุ้มค่าเพราะเราเคยผ่านประสบการณ์ร้ายๆในอดีตมามากเคยเห็นซากปรักหักพังของโครงการที่รัฐบาลลงทุนหลายหมื่นล้านแล้วไม่สามารถใช้การได้ ไม่ต้องพูดถึงชื่อโครงการเหล่านี้ออกมาอีกเพราะทุกคน แม้กระทั่งเด็กๆ เดี๋ยวนี้ก็คงได้ยินกันจนชินไปแล้ว ส่วนโครงการใหม่ๆที่สร้างแล้วไม่มีคนใช้ ขาดทุนตลอด แถมไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจก็ยังมีอีกมาก เช่น โครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์ที่ขาดทุนตลอดตั้งแต่ต้น ทั้งๆ ที่มีลูกค้าผู้โดยสารสายการบินต่างๆที่เดินทางมาประเทศไทยผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ วันละเป็นแสนคนและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทำให้การรถไฟแห่งประเทศไทยที่มีผลการดำเนินงานส่วนอื่นๆไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่อยู่แล้ว กลับจะต้องมีหนี้สินกับรัฐบาลเพิ่มขึ้นสะสมเข้าไปอีกเรื่อยๆ
ต่อภัสสร์: คำถามนี้ฟังดูน่าจะตอบได้ง่ายนะครับ แต่จริงๆเป็นคำถามที่หาข้อมูลมาตอบได้ยากมาก สำหรับประชาชนทั่วไปก็ไม่รู้จะไปหาข้อมูลที่ไหน และถึงแม้จะพอหาข้อมูลได้ ก็ไม่รู้ว่าข้อมูลนั้นครบถ้วนหรือไม่ แล้วก็ไม่รู้จะให้ใครมายืนยันตัวเลขนั้นให้ด้วย ที่หนักไปกว่านั้นก็คือ นักการเมืองที่เป็นผู้บริหารเงินของชาติบางทีก็ยังตอบคำถามนี้ไม่ได้เลย สังเกตได้จากการให้สัมภาษณ์ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในระดับสูงๆหลายคนที่ผ่านมาก็มักเลี่ยงตอบคำถามนี้เวลาถูกนักข่าวถาม และถึงแม้ว่าผู้บริหารประเทศเหล่านี้อาจจะสามารถขอข้อมูลราชการมาได้สะดวกกว่าประชาชนทั่วไป หลายคนก็ไม่สนใจที่จะรู้ เพราะนักการเมืองจำนวนมากมักจะมองระยะสั้น เอาแค่ว่ามีเงินมาจ่ายให้โครงการของตัวเองสำหรับปีนี้และปีหน้าพอ เอาให้มีผลงานดึงความนิยมให้ได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีกรอบแล้วค่อยว่ากันใหม่ ทำให้ที่ผ่านมาเราจึงได้ยินคำว่า “ขาดวินัยทางการคลัง” อยู่บ่อยๆ
ต่อตระกูล: ข้อมูลที่เล่ามานี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของโครงการวิจัย “ความโปร่งใสทางการคลังในระบบงบประมาณของไทย” ที่ได้รับการสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.) โดยคณะผู้วิจัยที่ประกอบด้วย อาจารย์ ดร.ภาวิน ศิริประภานุกูล จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, รศ.ดร.ศาสตรา สุดสวาสดิ์ จากคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, ดร.ฐิติมา ชูเชิด จากธนาคารแห่งประเทศไทย, ผศ.ดร.อมรรัตน์ อภินันท์มหกุล จากคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, ดร.พิสิทธิ์ พัวพันธ์ จากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และดร.กุสุมา คงฤทธิ์ จากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ที่ได้มารายงานผลการวิจัยให้คณะอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ด้านการป้องกันการทุจริต เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา
โดยสรุปแล้วโครงการวิจัยนี้สนับสนุนให้มีการเปิดเผยข้อมูลการคลังของประเทศต่อสาธารณะอย่างครบถ้วน คณะผู้วิจัยได้เล่าว่าในอดีตสมัยที่ประเทศไทยมีรายได้และการลงทุนไม่มากนัก วงเงินที่ผู้บริหารประเทศจะนำมาใช้ก็มีจำนวนไม่มากและมาจากแหล่งเงิน 2-3 แห่งเท่านั้น ได้แก่ 1.งบประมาณแผ่นดินประจำปีที่ได้จากการเก็บภาษีของประชาชนและธุรกิจที่มีรายได้2.จากการกู้เงินจากแหล่งเงินใหญ่ที่ให้ความช่วยเหลือการลงทุนขั้นพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งในยุคหนึ่งได้จากธนาคารโลกเป็นส่วนใหญ่ เราเรียกว่าโครงการเงินกู้ระหว่างประเทศและ 3.รายได้จากรัฐวิสาหกิจที่มีประสิทธิภาพดี เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
แต่ปัจจุบันเพื่อตอบสนองการลงทุนของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นมาก ทำให้แหล่งเงินทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากเพียง 3 ประเภท ก็เป็นหลายสิบประเภทแต่ละประเภทก็ยังแยกออกมาอีกเป็นหลายสิบช่องทาง และที่สำคัญมีหลายหน่วยงานเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบไม่มีหน่วยกลางหน่วยใดหน่วยเดียวที่ดูแลและรวบรวมสรุปตัวเลขงบประมาณโดยรวม ทำให้ไม่มีใครรู้ภาพรวมการคลังของประเทศไทยได้ทั้งหมด
ต่อภัสสร์ : น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ เพราะแหล่งข้อมูลการใช้เงินภาษีของรัฐบาลที่สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (EGA) รวบรวมนำมาจัดทำฐานข้อมูลให้ประชาชนเข้ามาดูได้ง่ายๆ ในเว็บไซต์“ภาษีไปไหน” ก็ยังขาดข้อมูลงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้ประชาชนไม่สามารถเห็นการใช้เงินภาษีของตัวเองได้อย่างครบถ้วน ข้อมูลที่น่าสนใจอันหนึ่งที่ได้จากรายงานวิจัยฉบับนี้คือ เดิมการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยทั่วไปนั้น ไม่จำเป็นต้องประกาศผ่านเว็บไซต์กลาง สามารถติดประกาศไว้ที่อาคารสำนักงานได้เหมือนอย่างหน่วยงานราชการทั่วไปในสมัยโบราณ ซึ่งเคยมีการประเมินกันว่าเป็นวิธีที่สร้างโอกาสให้เกิดการทุจริตได้โดยง่ายด้วย และเพิ่งมามีการเปลี่ยนแปลงให้ใช้วิธีการเดียวกับหน่วยงานราชการอื่นๆ โดยผ่านระบบของกรมบัญชีกลางเมื่อเดือนสิงหาคมปีนี้เอง
ต่อตระกูล: คณะอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ด้านการป้องกันการทุจริต ได้อ่านผลงานการวิจัยชิ้นนี้แล้ว เห็นว่ามีประโยชน์มากต่อการดำเนินการใช้จ่ายเงินของประเทศเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต จึงจะได้นำข้อเสนอเพื่อการพัฒนาการบริหารจัดการและเปิดเผยข้อมูลการคลังมาพิจารณา แล้วนำเสนอมาตรการที่เป็นรูปธรรม พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการสนับสนุนการวิจัยด้านงบประมาณ การเปิดเผยข้อมูล ธรรมาภิบาล และการต่อต้านคอร์รัปชันต่อคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ต่อไป
ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี