ในยุครัฐบาล คสช. เมื่อเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้มากขึ้น เริ่มจากอุทยานแห่งชาติทางทะเลสำคัญๆ ผลปรากฏว่า ยอดเงินที่จัดเก็บได้จากนักท่องเที่ยวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 จัดเก็บรายได้มากถึง 1,982 ล้านบาท
มากที่สุดตั้งแต่มีอุทยานแห่งชาติเป็นต้นมา
เทียบกับปี 2558 เก็บได้ 896 ล้านบาท
ปี 2557 เก็บได้ 696 ล้านบาท
ปี 2556 จัดเก็บได้ 662 ล้านบาท
เงินรายได้เหล่านี้มีความสำคัญ เพราะจะถูกนำมาใช้ในการดูแลสนับสนุนงานอุทยานอย่างยั่งยืนต่อไป ไม่ว่าจะเป็น จัดการปัญหาขยะ น้ำเสีย ทุ่นจอดเรือ ทุ่นกันแนวเล่นน้ำ ห้องน้ำห้องท่า เรือตรวจการณ์ เป็นต้น
1. ล่าสุด ในปีงบประมาณ 2560 จัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นไปอีก เป็น 2,400 ล้านบาท
โดย 10 อุทยานที่จัดเก็บเงินรายได้สูงสุด ได้แก่ 1.หาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี จำนวน 669,107,180.68 บาท 2.อ่าวพังงา จำนวน 390,217,349.91 บาท 3.หมู่เกาะสิมิลัน จำนวน 307,481,394.49 บาท 4.เขาแหลมหญ้า - หมู่เกาะเสม็ด จำนวน 118,079,580.00 บาท 5.เอราวัณ จำนวน 108,815,080.80 บาท 6. เขาใหญ่ จำนวน 107,215,072.09 บาท 7.ดอยอินทนนท์ จำนวน 72,646,213.00 บาท 8. เขาสก จำนวน 63,000,830.00 บาท 9.หมู่เกาะลันตา จำนวน 59,214,941.88 บาท 10. หมู่เกาะอ่างทอง จำนวน 38,440,772.35 บาท
2. สะท้อนว่า ในอดีตยุคก่อนๆ นั้น เงินหายไปไหน?
เมื่อปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการ เน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยว จำนวนเรือที่เข้าอุทยาน ฯลฯ เพื่อให้เกิดการกำกับดูแลอุทยานยั่งยืนมากขึ้น (น่าจะเป็นเป้าหมายสูงสุด ไม่ใช่หาเงินมากที่สุด) ก็สามารถได้รับเงินเข้าหลวงมากขึ้นหลายเท่าตัว
รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จะสานต่อ จะรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมแบบนี้ต่อไปไหม?
จะสานต่อการปฏิรูปอุทยานแห่งชาติ เพื่อความยั่งยืน หรือไม่?
3.ประเด็นการปฏิรูปอุทยานทางทะเล ถูกนำเสนออย่างเป็นทางการครั้งแรกในสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือสปช. หลังจากนั้น ได้มีการดำเนินการจนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ ในยุครัฐบาล คสช.นี้เอง
เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ ร่วมกับภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และอดีต สปช. ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (ปัจจุบัน เป็นกรรมการปฏิรูปประเทศด้วย) ได้นำไปสู่การลงมือทำ สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างรูปธรรมชัดเจน ในอุทยานแห่งชาติทางทะเลหลายแห่งแล้ว
จัดระเบียบ ยกเครื่อง วางระบบการบริหารจัดการ ผลลัพธ์เป็นรูปธรรมเบื้องต้น ก็คือสามารถจัดเก็บเงินค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานเพิ่มขึ้นมหาศาล หลายสิบเท่าตัวนั่นเอง
โดยที่อัตราค่าธรรมเนียม สำหรับคนไทย ยังเท่าเดิม
สิ่งที่สำคัญมากกว่าค่าธรรมเนียม คือ การจัดระบบบริหารจัดการใหม่ จากข้อมูลนักท่องเที่ยวและเรือท่องเที่ยวที่ดำเนินการจัดระเบียบใหม่ สะท้อนความเป็นจริงมากกว่าในอดีต จะถูกนำไปใช้ในการจัดระเบียบดูแลทรัพยากรต่อไป
ในรายงานประเด็นปฏิรูปที่ถูกนำเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ปรากฏวาระ “การปฏิรูประบบการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง” หนึ่งในนั้น ก็คือเรื่อง “การปฏิรูปอุทยานทางทะเล” เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเลอันงดงามของประเทศไทย
เงินค่าธรรมเนียมเป็นแค่ส่วนหนึ่ง มีเป้าประสงค์อื่นใหญ่กว่า
เงินเป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่ง ไม่ใช่เป้าหมายปลายทางหลัก
4. ถึงวันนี้ การปฏิรูปอุทยานแห่งชาติ ควรได้รับการสนับสนุน ขยายออกไปทั่วประเทศ และสานต่อไปอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดแค่ยุครัฐบาล คสช.
ไม่ใช่ว่า พลเอกประยุทธ์ไม่อยู่ แล้วก็กลับไปเละเทะเหมือนเดิม
จุดอ่อนของอุทยานแห่งชาติในบ้านเรา มีมากมาย เช่นบางแห่งถูกใช้ทรัพยากรเกินขีดความสามารถในการรองรับ, การจัดทาแนวเขตอุทยานแห่งชาติไม่มีเอกภาพของหลายหน่วยงาน ทำให้การรับรองแนวเขตยังไม่เสร็จสิ้น, การบังคับใช้กฎหมายขาดประสิทธิภาพ, นโยบายและแผนการจัดการอุทยานแห่งชาติภาพรวมไม่ต่อเนื่อง, ไม่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ, การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวด้านต่างๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค ระบบสื่อความหมาย ไม่สอดคล้องกับการจัดการเชิงระบบนิเวศน์และความต้องการของนักท่องเที่ยว, ระบบการจองและบริการที่พัก การบริการด้านกิจกรรมนันทนาการและ สื่อความหมายยังไม่เต็มศักยภาพ (โดยรัฐ ชุมชน เอกชน) ฯลฯ
หากเราจัดการสิ่งเหล่านี้ได้ตรงจุด มีประสิทธิภาพ เราจะได้เห็นว่า ทั่วแผ่นดินไทย ทุกภูมิภาค มีทั้งความงดงาม ความอุดมสมบูรณ์ เป็นมรดกที่ธรรมชาติให้มา เมื่อเราจัดการมรดกอย่างดี ก็จะหล่อเลี้ยงชีวิตลูกหลาน โดยให้ทั้งตัวเงิน และความสมดุลระบบนิเวศน์ มีความยั่งยืน ชั่วลูกชั่วหลาน
ที่สำคัญ คือ จะต้องสานต่ออย่างต่อเนื่อง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี