เมื่อปีกว่าๆที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติเจิ้งจื้อ(Chengchi) ไต้หวัน ให้ไปร่วมสัมมนาวิชาการ ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนรูปโฉมทางการเมือง(Political Traces / creative) ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมี ดร.ไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีคนใหม่ของไต้หวัน (สาธารณรัฐจีน – Republic of China) ให้เกียรติเป็นประธานพิธีเปิด ซึ่งได้กล่าวเปิดตัวนโยบายต่างประเทศของไต้หวันต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคเอเชียใต้ ภายใต้ชื่อว่า ก้าวสู่เส้นทางใหม่ทางตอนใต้ (New South Bound Policy – NSP) แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นจะกระชับความสัมพันธ์ไม่เพียงแค่ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ที่มีมาหลายสิบปี หากแต่จะขยายไปทางด้านประชาชนต่อประชาชนโดยรวม ทั้งทางด้านเทคนิควิชาการ วัฒนธรรม การแพทย์และสาธารณสุข การค้นคว้าวิจัย การบริหารจัดการที่ดี การร่วมมือของภาคธุรกิจต่อสังคม การร่วมมือด้านองค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งไต้หวันมีความเป็นเลิศ เช่น ด้านการเกษตรสมัยใหม่ การผลิตเครื่องมือการแพทย์ การวิจัยค้นคว้าเชิงธุรกิจชีวภาพ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค เป็นต้น โดยประกาศจัดเงินงบประมาณเพื่อการนี้ไว้ถึง 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
และเมื่อช่วงวันที่ 8-14 ตุลาคมนี้ ทางไต้หวันก็เชิญผมอีกครั้ง ไปร่วมงานเฉลิมฉลองวันชาติไต้หวัน (10 ตุลาคม) และงานสัมมนาวิชาการ ว่าด้วยนโยบายก้าวสู่เส้นทางตอนใต้ จัดโดย มูลนิธิ Prospect Foundation เรียกว่า เวทีวี่ซัน (Yushan Forum) วี่ซันแปลว่า ยอดภูเขาหยก ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดของไต้หวัน และของเอเชียแปซิฟิก โดยประธานาธิบดีไต้หวันเป็นผู้เปิดการสัมมนานี้เช่นกัน
ในการกล่าวสุนทรพจน์วันชาติ ประธานาธิบดีได้กำหนด 3 แนวทางหลักพัฒนาประเทศ คือ
1)การป้องกัน ปกป้อง และส่งเสริมประชาธิปไตยของไต้หวัน
2)การพัฒนาประเทศภายในตามคำมั่นสัญญา ทั้งทางด้านสังคม และเศรษฐกิจ
3)การกระชับการร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายก้าวย่างสู่ภูมิภาคตอนใต้ของไต้หวัน และได้ประกาศวงเงินร่วมมือไว้เป็น 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อขยายการลงทุน การร่วมมือ
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกระชับความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อประชาชน
และในการดำเนินนโยบายก้าวย่างสู่ภูมิภาคทางตอนใต้ของไต้หวันนี้ ได้จัดตั้งโครงสร้างและองค์กรเพื่อรองรับ โดยให้เรื่องนี้ขึ้นตรงต่อทำเนียบประธานาธิบดี และรัฐมนตรีเพื่อเป็นผู้ดูแลเป็นการเฉพาะ โดยมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นทัพหน้า ประสานกับต่างชาติ
ผมได้รับเชิญให้กล่าวสุนทรพจน์มุมมองเกี่ยวกับนโยบายลงใต้นี้ ซึ่งผมให้ความเห็นสนับสนุนเพราะเห็นว่า ไต้หวันมีดีและประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนรูปโฉมประเทศ (Transformation)
จากประเทศกำลังพัฒนา เป็นประเทศพัฒนาแล้ว แค่ช่วงเวลาประมาณ 20 ปี และความสำเร็จนี้เกิดขึ้นในกรอบของสังคมเสรีประชาธิปไตย โดยเริ่มจากการยกเลิกการเมืองการปกครองแบบพรรคเดียวค้ำจุนด้วยอำนาจของกองทัพ ไต้หวัน ณ วันนี้จึงเป็นสังคมประชาธิปไตยแบบเต็มใบ เมื่อการเมืองเปิดกว้างและประชาชนมีอัตราการรู้หนังสือร้อยละร้อย พลเมืองก็มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง และมีสุ้มเสียงในการติดตามดูแลกำกับความเป็นไปของการบริหารบ้านเมือง และได้รับบริการอย่างทั่วถึงด้วยคุณภาพและธรรมาภิบาล
ผมให้ข้อคิดต่อฝ่ายไต้หวันว่า ภายใต้นโยบายลงใต้นั้น การกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ วิชาการและวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ดี เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของมิตรประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ แต่การร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ก็ยังมิได้สะท้อนความสำเร็จของไต้หวันด้านพัฒนาการเมืองอย่างเพียงพอ ควรบอกกล่าวให้โลกรู้ด้วยว่าความเจริญก้าวหน้าของไต้หวันนั้น เป็นมาภายใต้กรอบของสังคมที่เปิดและเสรี สามารถเป็นแบบอย่าง เป็นการให้กำลังใจต่อมิตรประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ให้ตระหนักและทำตามได้ว่า ระบบเสรีประชาธิปไตยนั้นนำไปสู่สังคมที่ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายการพัฒนาอย่างทั่วถึงได้ แตกต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่โฆษณาชวนเชื่อว่า ระบบปิดทางการเมืองนั้นสามารถทำให้มีการพัฒนาได้ เท่ากับว่าจีนแผ่นดินใหญ่และจีนเกาะไต้หวัน ต่างได้แสดงความสำเร็จของการพัฒนาประเทศด้วยระบบที่แตกต่างและตรงกันข้ามกัน
ที่ผมเห็นด้วยกับแนวทางการพัฒนาสังคมของไต้หวันก็เพราะ เขายึดมั่นในเรื่องสิทธิและเสรีภาพ เพราะให้และเคารพคุณค่าของการเป็นมนุษย์ มนุษย์จะเสพสุขแต่เรื่องวัตถุมิได้ มนุษย์ต้องอยู่ท่ามกลางความเบิกบานของจิตใจ และความเป็นเสรีชนด้วย
ในการนี้ ผมจึงเสนอให้ไต้หวันโชว์ตัว เป็นแบบอย่างถ่ายทอดประสบการณ์ องค์ความรู้และการบริหารจัดการของสังคมเสรีที่ประชาชนพลเมืองเป็นใหญ่และมีส่วนร่วม โดยแสดงทางเลือกเสรีให้สังคมโลกได้เปรียบเทียบกับการแผ่ขยายการพัฒนาแบบรัฐชี้นำของจีนแผ่นดินใหญ่ไปในตัว ให้ชาวโลกใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า สังคมเสรีนั้น เป็นแนวทางการพัฒนาที่สามารถกระทำได้ เพียงแต่ละประเทศที่นำไปใช้นั้น จะต้องหาฉันทามติและร่วมกันขับเคลื่อน บนพื้นฐานความเข้าใจตรงกันในการมุ่งขจัดรากเหง้าของเผด็จการนิยมออกไปจากสังคม ซึ่งจะทำได้ ประชาชนต้องเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญ โดยภาครัฐมีหน้าที่ตอบสนองและเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถฝึกฝน หาความรู้ เพื่อที่จะขึ้นมาเป็นพลเมืองที่ขับเคลื่อนสังคมประชาธิปไตยได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งการชี้นำจากใคร
ที่ผ่านๆ มาไทยเรามักจะหวาดๆกลัวๆจีนแผ่นดินใหญ่ในการกระชับความสัมพันธ์กับไต้หวัน ก็ถึงเวลาที่ไทยเราจะทบทวนและสร้างความเป็นตัวของตัวเอง ด้วยการตอบรับข้อเสนอการร่วมมือต่างๆ ของไต้หวัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี