อยากจะเตือนสติคนไทยบางกลุ่มเท่านั้นว่า การแสดงความจงรักภักดี ควรมีสำนึกในการกระทำ มีความสำรวมและมีกาลเทศะ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การแสดงความอาลัยถวายพระผู้ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนจะต้องสำนึกและสำรวมให้มากที่สุดในช่วงเวลานี้
สำรวจความคิดของตัวเองว่า อะไรควรทำ ไม่ควรทำ ต้องสำรวมกิริยามารยาทอย่างยิ่งเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 อย่างสมพระเกียรติ
ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพครั้งนี้ คนไทยจำนวนมากจะได้เห็นเป็นครั้งแรกซึ่งเป็นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอันยิ่งใหญ่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ได้
ในวันที่ 26 ตุลาคม นอกจากคนไทยทั้งประเทศได้มีโอกาสเข้าร่วมพระราชพิธีแล้ว ผมภูมิใจที่ช่อง TGN จะถ่ายทอดไปกว่า 175 ประเทศในโลก จะได้ทราบถึงการเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีประเพณีอย่างไร และมีพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศกว่า 42 ชาติที่ตอบรับยืนยันการเข้าร่วมในพระราชพิธีด้วย
ตลอดเดือนนี้ ผมได้น้อมนำบทบาทของพระองค์มาเล่าให้ท่านผู้อ่านติดต่อกัน 3 อาทิตย์
- เรื่องรางวัลของยูเนสโก
- เรื่องสภาสูงของสหรัฐสดุดีในหลวงรัชกาลที่ 9
- และเรื่อง โคฟี่ อันนัน UN มาถวายรางวัลอันยิ่งใหญ่ในโลกด้านการพัฒนาคน
ขอขอบคุณท่านผู้อ่านจำนวนมากที่ได้นำไปแชร์กันต่อ
สรุปคือบทความ 3 เรื่องของผมได้เทิดพระเกียรติพระองค์ท่านในระดับโลก ซึ่งผมเคยพูดหลายครั้งแล้ว และเคยสัมภาษณ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุลว่า รางวัลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สมควรได้รับการทูลเกล้าฯถวายมากที่สุดคือ รางวัล Nobel ด้านสันติภาพเพราะสมพระเกียรติมากที่สุด
แต่การได้ Nobel จะต้องมีการวางแผนเป็นเวลานานและต้องเผยแพร่พระราชกรณียกิจเป็นจำนวนมากหลายของพระองค์ท่านให้โลกรู้จัก น่าเสียดายที่รัฐบาลที่ผ่านมาไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง
ถ้าหากรัฐบาลในอดีตได้ระดมพลังอย่างเต็มที่ในช่วงที่พระองค์มีพระชนม์อยู่ พระองค์คงจะได้รับรางวัล Nobel นี้แน่นอน เพราะวิธีการของรางวัล Nobel คือต้องมีการเสนอชื่อ ทางเราต้องระดมพลังให้คณะกรรมการ Nobel ได้เข้าใจ ซึ่งผลงานจากพระราชกรณียกิจหลายโครงการของพระองค์ท่านอย่างน้อย 2 เรื่องใหญ่ๆ ก็ถือว่า พอเพียงแล้ว เช่น
(1) เรื่อง 14 ตุลา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีบทบาทอย่างไร ที่ทำให้ประเทศไทยลดความขัดแย้งในประเทศอย่างสันติวิธี อยู่อย่างสันติและยั่งยืน โดยเฉพาะที่ได้พระราชทานนายสัญญา ธรรมศักดิ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี
(2) เรื่องเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พระองค์ท่านทรงเป็นผู้เจรจายุติความขัดแย้งระหว่างพลเอกสุจินดา คราประยูร และพลตรีจำลอง ศรีเมือง
ทั้งนี้ไม่นับเรื่องอื่นๆ ซึ่งทรงพัฒนาประเทศของท่านให้คนไทยมีความเป็นอยู่อย่างสมดุล พอเพียง อันเป็นที่มาของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
บทความครั้งนี้ ผมขอยกตัวอย่างงานของผมที่นำศาสตร์พระราชามาปฏิบัติ 3 เรื่อง
(1) ในฐานะอดีตนายกสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีโอกาสร่วมงานกับ ม.จ.ภีศเดช รัชนี จัดตั้งโรงเรียนบ้านคุ้มบนดอยอ่างขางให้เป็นโรงเรียนเทพศิรินทร์ ๙ โครงการหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นความภูมิใจของผมและชาวเทพศิรินทร์ที่ได้สนองใต้เบื้องพระยุคลบาทในเรื่องการศึกษา ปัจจุบัน โรงเรียนเทพศิรินทร์ ๙ มีนักเรียนชาวเขาบนดอยอ่างขางกว่า 300 คน นักเรียนมีคุณภาพมาก และนักเรียนเหล่านี้ก็ซาบซึ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งเป็นล้นพ้น
(2) ได้เชิญ ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ไปแสดงปาฐกถาที่ประเทศกัมพูชา เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง วันที่ 28-29 ตุลาคม 2545 และต่อมาได้เชิญ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ไปแสดงปาฐกถาเรื่องเดียวกันที่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน วันที่ 14-15 มีนาคม 2549 เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการอันเป็นที่มาของตัวอย่างการทูตภาคประชาชน ซึ่งมีหน่วยงานจำนวนมากได้ดำเนินนโยบายระหว่างประเทศต่อจากผม โดยเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระองค์ในต่างประเทศเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน
(3) ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมได้นำลูกศิษย์ทั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและลูกศิษย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หลายรุ่นไปเยี่ยมและรับฟังงานของมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการและ ม.ล.จิรพันธุ์ ทวีวงศ์ กรรมการและรองเลขาธิการได้มาต้อนรับอย่างดีมาก
ซึ่งงานของมูลนิธิชัยพัฒนาที่พระองค์ท่านได้ทรงริเริ่มขึ้นจำนวนหลายโครงการและเชื่อมโยงกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ซึ่งดูแลโครงการในพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ
ผมคิดว่า น่าจะมีการร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยโดยนำเอาวิธีการของพระองค์ท่านให้ไปสู่ความสำเร็จโดยการต่อยอดและต่อเนื่อง ซึ่งจะสร้างให้คนไทยในระดับล่างหลุดพ้นจากความยากจน
ผมยังเคยคิดเล่นๆ ว่า ถ้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของประเทศไทยนำแนวทางของพระองค์ร่วมมือกับมูลนิธิชัยพัฒนา และโครงการของพระองค์ท่านกว่า 4,000 แห่ง มาเป็นแนวทางปฏิบัติ
การเกษตรของไทยและเกษตรกรน่าจะไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี