นับเป็นบทเรียนที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรมช.คลังยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ รวมทั้งข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังอีก 3 คน ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบช่วยนายพานทองแท้ ชินวัตร และน.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกเลี่ยงจ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ปมูลค่ารวมประมาณ 16,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังให้จำคุกเลขาฯคนสนิทของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร(ชินวัตร) ที่เจอคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
สำหรับข้าราชการระดับสูง 3 คน ที่ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุกคนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญาประกอบด้วย น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริและ นายกริช วิปุลานุสาสน์ ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ส่วนเลขานุการของคุณหญิงพจมาน ที่ถูกศาลสั่งจำคุกฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบคือ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์
คดีนี้สืบเนื่องจากขึ้นเมื่อปี 2549 นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)คนละ 164,600,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาหุ้นในตลาดหุ้น หุ้นละ 49.25 บาท ถือว่าทั้งสองเป็นผู้ได้รับเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรและมีหน้าที่ต้องเสียภาษีส่วนต่างราคาหุ้นคนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งกรณีอื้อฉาวดังกล่าวมีการฟ้องร้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จนในยุครัฐบาลหุ่นเชิดระบอบแม้วซึ่งขณะนั้น น.ส.เบญจา หลุยเจริญ ยังดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร พร้อมกับข้าราชการที่ตกเป็นจำเลยทั้ง 3 ได้ร่วมกันใช้วิธีการฉ้อฉลเพื่อทำให้ นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ไม่ต้องเสียภาษีหุ้นแก่แผ่นดินทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการได้รับความเสียหายรวมดอกเบี้ยและค่าปรับเป็นมูลค่าราว 16,000 ล้านบาท ซึ่งจากพฤติการณ์ของ นางเบญจา และพวก มีการร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เอาผิด ซึ่งมีการสอบสวนจนนำไปสู่การชี้มูลความผิดและส่งฟ้องจำเลยทั้ง 5 ต่อศาล
สำหรับหุ้นของ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา นั้นมีการตั้งข้อสังเกตว่าแท้ที่จริง ก็คือหุ้นของ นายทักษิณ แต่มีการใช้กลวิธีการซิกแซกเพื่อฟอกเงินและหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีแก่รัฐ
ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า นางเบญจา นั้นมีเส้นทางการเติบโตในราชการแบบก้าวกระโดดในยุครัฐบาลหุ่นเชิดระบอบแม้วจากข้าราชการธรรมดาได้รับการผลักดันขึ้นเป็นรองอธิบดีกรมสรรพากร อธิบดีกรมสรรพากร อธิบดีกรมศุลกากร และที่สำคัญที่สุดคือเป็นม้ามืดที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรมช.คลังยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ภายใต้โควตาพิเศษ
ที่น่าสนใจคือจากคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ตอนหนึ่งระบุว่า ตามสภาพความผิดของจำเลยทั้ง 5 เป็นการกระทำที่มิได้คำนึงถึงความ
เสียหายและความน่าเชื่อในการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศชาติ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง จำเลยจะอ้างว่าเรื่องนี้ในที่สุดแล้วก็มิได้เกิดความเสียหายแก่รัฐโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษายึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องไปหมดแล้วและศาลภาษีอากรกลางได้มีคำพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีของกรมสรรพากรไปแล้วมาเป็นข้ออ้างเพื่อขอให้ศาลอุทธรณ์รอการลงโทษไม่ได้ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
หลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา จำเลยทั้งหมดพยายามดิ้นรนด้วยการยื่นคำร้องขอประกันตัวในชั้นศาลฎีกา แต่ศาลฎีกาก็ยังไม่มีคำสั่งใดๆ ทำให้ นางเบญจา และพวกถูกนำตัวไปฝากขังในเรือนจำ
จึงเป็นอันว่า นางเบญจา และพวกได้ลิ้มรสชาตินอนคุกเป็นครั้งแรกในชีวิตและรอการชี้ชะตาจากศาลฎีกา ทั้งนี้ นางเบญจา และพวกยังมีปัญหาในเรื่องการยื่นขอฎีกาซึ่งจะต้องไม่เป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งหากจะยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องมีผู้พิพากษาที่ร่วมทำสำนวนคดีหรืออัยการสูงสุดเซ็นรับรอง
ที่ผ่านมามีบทเรียนมาแล้วหลายคดีที่ข้าราชการที่ทำตัวเป็นทาสรับใช้นักการเมืองผู้มีอำนาจในการทุจริตต่อหน้าที่ในที่สุดตัวเองก็ต้องรับเคราะห์ประสบชะตากรรมต้องติดคุก โดยก่อนหน้านี้เพิ่งจะมีตัวอย่างคดีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีเก๊ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุกข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์หลายรายคนละกว่า 20 ปี โดยไม่รอลงอาญา
เพราะฉะนั้นจากบทเรียนของนางเบญจาและพวกจึงน่าจะเป็นอุทาหรณ์เตือนสติเหล่าข้าราชการที่ยอมเป็นทาสรับใช้นักกินเมืองผู้มีอำนาจ เพราะเมื่อใดที่ความผิด ถูกฟ้องร้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมผู้ที่รับเคราะห์จนหมดอนาคตและต้องติดคุกเป็นตราบาปไปตลอดชีวิตก็คือข้าราชการที่ทำตัวเป็นทาสรับใช้ ขณะที่นักกินเมืองตัวการใหญ่สามารถใช้อิทธิพลหนีโทษความผิดไปเสพสุขอยู่ในต่างแดนอย่างลอยนวล
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี