ประเด็นที่ผู้บริหารชุดก่อนหน้านี้ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักในชื่อ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส นำเงินขององค์การฯ ประมาณ 200 ล้านบาท ไปซื้อตราสารหนี้ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือหุ้นกู้ของซีพีเอฟ เป็นเรื่องที่ยังค้างคาใจสาธารณชน โดยเฉพาะผู้ที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด ถึงแม้ผู้บริหารของไทยพีบีเอสหลายคนพยายามอ้างว่า เรื่องดังกล่าวได้จบสิ้นไปแล้ว เพราะไทยพีบีเอสขายหุ้นกู้คืนไปเรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม วิญญูชนที่ติดตามเรื่องนี้ยังยืนยันว่า เรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะการตัดสินใจซื้อหุ้นกู้ตัวดังกล่าวเข้าข่ายผิดระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการงบประมาณ พ.ศ. 2558 อย่างชัดเจน
โปรดดูข้อ 9 ของระเบียบดังกล่าว ระบุไว้ว่า
ส.ส.ท. สามารถนำรายได้ไปหาผลประโยชน์ได้ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด ดังต่อไปนี้
(1) กิจการตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติ
(2) ซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซื้อพันธบัตรหรือหุ้นกู้รัฐวิสาหกิจ ซื้อตั๋วเงินคลัง ซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากสถาบันการเงินของรัฐ หรือสถาบันการเงินของเอกชนโดยมีธนาคารอาวัล
(3) ฝากบัญชีประจำกับสถาบันการเงินของรัฐหรือสถาบันการเงินของเอกชน
(4) การลงทุนอื่นๆ ซึ่งต้องคำนึงถึงความเสี่ยง ผลตอบแทน
ความสามารถในการเปลี่ยนการลงทุนเป็นเงินสด เพื่อนำกลับมาใช้ในกิจการของ ส.ส.ท. โดยได้รับความเห็นชอบจากกรรมการนโยบาย
ระเบียบของ ส.ส.ท. ฉบับนี้ประกาศ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2558 ลงนามโดย ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ประธานกรรมการนโยบาย ส.ส.ท.
เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาการที่ กฤษฎา เรืองอารีย์รัชต์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ส.ส.ท. และวิลาสีนี พิพิธกุล รวมถึงอนุพงษ์ ไชยฤทธิ์ อดีตรองผู้อำนวยการ ส.ส.ท. ในยุคนั้น ได้ร่วมกันลงนามซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟ ดังมีหลักฐานปรากฏชัดเจน จึงทำให้เห็นได้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดกับระเบียบ ส.ส.ท. ที่ระบุข้างต้น เพราะว่า หุ้นกู้ของซีพีเอฟไม่ได้เป็นไปตามข้อบังคับในวงเล็บ 2 และ 3 ของระเบียบองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการเงิน การบัญชี และการงบประมาณ พ.ศ. 2558
เมื่อมีการกระทำผิดระเบียบขององค์การฯ อย่างชัดแจ้งเช่นนี้ แล้วเหตุใดผู้ที่กระทำผิดจึงไม่ได้รับการลงโทษตามความผิดที่ได้กระทำลงไป
แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ มีบางคนในไทยพีบีเอสพยายามบอกกับสังคมว่า เรื่องนี้จบแล้ว เพราะไทยพีบีเอสขายหุ้นกู้คืนไปแล้ว แถมยังได้กำไรอีกประมาณ 5 ล้าน 3 แสน 6 หมื่นบาท
อันที่จริง การซื้อหุ้นกู้ตัวนี้โดยไทยพีบีเอสก็มีข้อน่าสงสัยอีกมากมาย โดยเฉพาะประเด็นหลักที่ว่า หุ้นกู้ตัวนี้ไม่ใช่พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรหรือหุ้นกู้รัฐวิสาหกิจ ตั๋วเงินคลัง ตั๋วสัญญาใช้เงิน
จากสถาบันการเงินของรัฐ หรือสถาบันการเงินของเอกชนโดยมีธนาคารอาวัล แต่เพราะเหตุใดไทยพีบีเอสในยุคกฤษฎา-วิลาสีนี-อนุพงษ์ จึงตัดสินใจซื้อหุ้นกู้ตัวนี้
แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือแล้วกรรมการนโยบายซึ่งมีหลายคนจึงไม่คัดค้านเรื่องนี้ตั้งแต่แรก หรือว่ากรรมการนโยบายในยุคนั้น รวมถึงยุคต่อมาให้การสนับสนุนการซื้อหุ้นกู้ดังกล่าว เพราะในท้ายวงเล็บ 4 ระบุว่า โดยได้รับความเห็นชอบจากกรรมการนโยบายในเมื่อกรรมการไม่คัดค้านก็ย่อมหมายความว่าให้การสนับสนุน ใช่หรือไม่ หรือกรรมการนโยบายจะอ้างว่าไม่รับรู้ และไม่รับทราบการตัดสินใจของคณะบุคคลดังกล่าว เพราะคณะบุคคลกลุ่มนั้นตัดสินใจกระทำไปโดยพลการ แต่ถ้ากระทำโดยพลการ ก็หมายความว่าทำผิดระเบียบ องค์การฯ ดังนั้นคณะกรรมการนโยบายก็จะต้องมีบทลงโทษผู้กระทำผิด
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ได้มีคำแถลงของไทยพีบีเอส โดยคณะกรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย มีข้อความว่า
ตราสัญลักษณ์ Thai PBS
ส.ส.ท.
คำแถลง
กรณีการขายตราสารหนี้บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ตามที่คณะกรรมการนโยบายได้มีคำแถลง กรณีการซื้อตราสารหนี้บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2560 และมีมติให้ขายตราสารหนี้ดังกล่าวตามความเหมาะสมต่อไป นั้น
บัดนี้ ส.ส.ท. ได้ขายตราสารหนี้บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ดังกล่าวเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2560 โดยมีรายรับจากการขาย 193,926,097.06 บาท (ซื้อ ณ วันที่ 20 มกราคม 2560 เป็นเงิน 193,929,591.60 บาท) และมีรายรับเป็นดอกเบี้ยรวมสองครั้ง เป็นเงิน 5,364,493.94 บาท รายรับจากการขายและดอกเบี้ย เป็นเงิน 199,290,591.00 บาท
คณะกรรมการนโยบาย
องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
วันที่ 31 สิงหาคม 2560
คำแถลงนี้ทำให้สาธารณชนเข้าใจได้ว่าคณะกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอสมีส่วนรู้เห็นกับการซื้อและขายหุ้นกู้ซีพีเอฟในครั้งนี้
เมื่อย้อนกลับไปดูผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบาย ครั้งที่ 38/2559 วันที่ 10 พฤศจิกายน 2559 พบว่ามีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงการบริหารเงินของ ส.ส.ท. โดยอนุมัติให้ลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งบริษัทเอกชนเป็นผู้ออกได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดยสถาบันที่ได้รับการรับรอง โดยต้องได้อันดับ A ขึ้นไป และมีระยะเวลาการลงทุนไม่เกิน 5 ปี และแล้วหลังจากนั้นไม่นานก็ปรากฏว่าไทยพีบีเอสได้ซื้อหุ้นกู้ซีพีเอฟ ดังนั้นจึงมีการวิพากษ์วิจารณ์โดยวิญญูชนว่า คณะกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอสจะปฏิเสธว่าไม่รับทราบเรื่องนี้มาก่อนมิได้
มีคนบางคนในไทยพีบีเอสบอกว่าผู้เขียนเล่นเรื่องนี้ไม่เลิก ทั้งๆ ที่ไทยพีบีเอสขายคืนหุ้นกู้แล้วได้กำไร จึงต้องเลิกเขียนเรื่องนี้เสียที แต่ผู้เขียนยืนยันว่า ไทยพีบีเอสไม่ได้กำไรจากการขายคืนหุ้นกู้ เพราะขายคืนราคาต่ำกว่าที่ซื้อมา ส่วนดอกเบี้ยที่ได้ไม่ถือเป็นกำไร เพราะเป็นสิ่งที่กำหนดไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าผู้ซื้อหุ้นกู้ตัวนี้จะต้องได้ผลตอบแทนในอัตราที่กำหนด ดังนั้นหากไทยพีบีเอสคิดจะหากำไรจากเงินที่มีอยู่โดยไม่คำนึงถึงระเบียบขององค์การฯ เหตุใดจึงไม่นำเงินที่มีเหลือไปซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะการซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดีมากๆ ย่อมทำให้ได้กำไรมากกว่าการซื้อหุ้นกู้บริษัทเอกชนอย่างแน่นอน
ประเด็นสำคัญในเรื่องนี้คือ คณะกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอสได้พยายามตรวจสอบเพื่อค้นหาความกระจ่างในเรื่องที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด เพราะการนิ่งเฉยกับเรื่องสำคัญเช่นนี้ทำให้สาธารณชนมองว่าน่าจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
คณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอสต้องทราบไว้ด้วยว่า ในอดีตนั้นคณะกรรมการนโยบายชุดก่อนเคยให้ฝ่ายบริหารทำเรื่องขอความเห็นจากกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เรื่องขออนุมัติซื้อตราสารหนี้ของบริษัทเอกชน แต่กรมบัญชีกลางไม่ตอบกลับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากระทรวงการคลังไม่เห็นชอบในเรื่องที่ขอไป ส่วนเรื่องที่มีผู้ให้ความเห็นว่าไทยพีบีเอสอาจจะเงินเหลือคงค้างอยู่ในองค์การฯ เป็นจำนวน 6,000-7,000 ล้านบาทนั้น และไม่จำเป็นต้องส่งเงินดังกล่าวคืนให้กระทรวงการคลัง ดังนั้นจึงต้องการนำเงินที่เหลือคงค้างนี้ไปแสวงหาผลประโยชน์ที่มากขึ้น แต่ประเด็นที่ผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอสต้องสำเหนียกไว้ตลอดเวลาคือ การจะนำเงินขององค์การฯ ไปลงทุนอะไรก็ตาม ก็ต้องไม่ทำผิดหรือขัดต่อระเบียบขององค์การฯ
ดังนั้นเมื่อมีการทำผิดระเบียบองค์การฯ ไปแล้ว ก็จึงจำเป็นต้องหาตัวผู้กระทำผิดให้พบ แล้วนำตัวไปลงโทษให้ได้ เพราะนี่คือเงินของแผ่นดิน ซึ่งจำเป็นต้องใช้โดยเคร่งครัดตามระเบียบที่กำหนดไว้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี