l 1.สถานการณ์บ้านเมือง ดูสลับซับซ้อนสับสน เหตุเพราะโลก-ประเทศเปลี่ยน
โลกประเทศเปลี่ยนไปเป็นจังหวะขั้นตอน “ช้า-ปานกลาง-รวดเร็ว” หากนับเวลาจากยุค 14 ตุลา 2516 ที่เอาจุดเวลา 14 ตุลา 2516 มาตั้งอ้างอิง เพราะคนรุ่นนี้และก่อนหลัง มีบทบาท “ครองเมือง” อยู่ไม่น้อย
1.1 จากยุคโลกสองขั้วมหาอำนาจ “ทุนนิยม-สังคมนิยม” ขบวนการคอมมิวนิสต์อินโดจีนเติบโตได้ชัยชนะ การก่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาอันยิ่งใหญ่ ที่ประชาธิปไตยชนะเผด็จการทหาร ประชาชนขยายเติบใหญ่ เมื่อสังคมนิยมขัดแย้ง “โซเวียต-จีน” พรรคคอมฯไทย เลือกข้างจีน พรรคเวียดนาม ลาวตัดขาดพรรคฯไทย จีนก็ปรับตัว “สร้างแนวร่วมกับรัฐบาลไทยฯ” เปลี่ยน “ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคต่อพรรคมาเป็นรัฐต่อรัฐ”
การพัฒนาทุนนิยมที่ขยายไปทั่วโลกรวมทั้งไทย ทำให้ทฤษฎีแนวทางชนบทล้อมเมืองของ พคท.ล่มสลาย นักศึกษาประชาชนที่ถูก
เผด็จการฯล้อมปราบเมื่อ 6 ตุลา 19 ที่เข้าป่าไปร่วมสู้กับ พคท.ก็แตกออกมา รวมทั้งนโยบาย 66/23 ของรัฐบาลไทยที่รับนักศึกษาประชาชนกลับมาร่วมกันพัฒนาประเทศอย่างสันติ การเมืองไทยเข้าสู่ระบบเลือกตั้งแบบตะวันตก ที่พรรคการเมืองพัฒนาเติบโตในสภา แต่ทหารยังคงกุมรัฐ ผ่านยุคโชติช่วงชัชวาลของเปรม-ชาติชาย ที่ไทยก้าวไปสู่สังคมทุน-เทคโนโลยี-พลังงานฯ มากยิ่งขึ้น มาสะดุดในยุคพฤษภา 2535 ระยะหนึ่ง ซึ่งภาคประชาชนชนชั้นกลางม็อบมือถือเริ่มมีบทบาทลดอำนาจทหาร
1.2 แล้วการเมืองไทยพัฒนาไปมากขึ้น ประชาธิปไตยเริ่มแตกหน่อ แต่มาสะดุดในยุคทุนสามานย์ทักครองเมือง จากการใช้ “ทุนโกงชาติ+เทคโนโลยี+สื่อ+นักวิชาการ” “นักการเมือง+อิทธิพลท้องถิ่น+ มวลชนนอกสภา” การซื้อเสียง-พรรค-สส. สว.เข้ากุม “ตำรวจ อัยการ ข้าราชการ ทหารบางส่วน” รวมทั้งคนเดือนตุลาที่แปรเปลี่ยนด้านความคิดชี้นำ : ใช้ทุกรูปทุกแบบ : “วิธีการไม่สำคัญเท่าเป้าหมาย” ทุกส่วนขึ้นกับผู้นำ, ประชานิยมเพื่อทัก ใช้กลุ่มอคติต่อ “สถาบันและทหาร” มาลดบาทเพื่อต่อรองฯ ทั้งหมดเพื่อขยาย“อำนาจรัฐ-ทุน-สื่อ-มวลชน”
1.3 แต่การใช้อำนาจ บริหาร นิติบัญญัติ “ที่ไม่เป็นธรรมฉ้อฉลโกงกินแบบระห่ำ และการหมิ่นคุกคามสถาบันฯ” ทำให้เกิดเงื่อนไขการก่อเกิด “พลังมหาประชาชนทั้งพธม.-กปปส.” ที่เติบโตเชิงปริมาณสูงสุดแต่ขาดคุณภาพ ทั้งผู้นำก็ขาด “วิสัยทัศน์ความเป็นวีรบุรุษ ความกล้าตัดสินใจฯ” จึงทำได้แค่การลดความชอบธรรมของทัก ปู
1.4 เปิดโอกาสแก่ “สถาบันที่รวมศูนย์อำนาจสูงสุด” คือ “กองทัพ” เข้ามาแก้วิกฤติและเข้าสู่อำนาจรัฐแทน แต่ก็เช่นเดียวกันกับ พธม.กปปส.คือ ขาดวิสัยทัศน์ความเป็นวีรบุรุษ ความกล้าตัดสินใจฯ ไม่กล้าใช้อำนาจธรรม สถานการณ์ที่ดูดีขึ้น แต่ไปได้ครึ่งๆกลางๆ ไปได้ไม่สุด ทั้ง “การหยุดอำนาจทุนสามานย์และการปฏิรูปประเทศ”
l 2.ความคิดและกำลังกลุ่มต่างๆ ในสังคมไทย ขาดวิสัยทัศน์-คุณภาพ ไม่สามารถนำพาแก้ไขปัญหาประเทศได้
ก.ชนชั้นนำและกลุ่มต่างๆ ของสังคมไทย
2.1 คณะราษฎร 2475
2.2 คณะทหาร (กองทัพบก) 2476-ปัจจุบัน
รัฐประหาร 2476 เม.ย. มิ.ย. 2490 • 91 • 94 • 2500 • 01 • 14 • 19 • 2520 • 2534 • 2549 • 2557
กบฏ ร.ศ. 130 (2455) • กบฏบวรเดช (2476) • กบฏนายสิบ (2478) • กบฏพระยาทรงสุรเดช (2482) •กบฏเสนาธิการ (2491) • กบฏวังหลวง (2492) • กบฏแมนฮัตตัน (2494) • กบฏสันติภาพ (2495) • กบฏ พ.ศ.2507 (2507) • กบฏ พ.ศ. 2520 (2520) • กบฏยังเติร์ก (2524) • กบฏทหารนอกราชการ (2528)
2.3 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย 2485 และกองทัพประชาชนปลดแอกประเทศไทย 2508
2.4 พรรคการเมือง(2488-ปัจจุบัน) ประชาธิปไตย สังคมนิยม และทุนสามานย์
2.5 นักวิชาการ ปัญญาชนสยาม ราษฎรอาวุโส กลุ่มอคติ กลุ่มก้าวหน้า
2.6 ชนชั้นนำในสังคม
2.7 การเคลื่อนไหวใหญ่ของประชาชน 14 ตุลา 16, 17 พฤษภา 35, ตุลา 40, พธม.กปปส.49-57
2.8 บทบาทของสถาบันฯรัฐธรรมนูญ และสื่อ
ข.กรอบความคิดและกำลัง ว่ามีกึ๋นมีแก่นแกน มีกำลังแค่ไหน เหตุไปไม่ถึงฝั่งประชาธิปไตย
1.คณะราษฎร : มีความคิดที่ดี แต่ขาดประสบการณ์ กำลัง ขาดความเป็นเอกภาพ “เมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจแต่ขาดประสบการณ์, เมื่อมีประสบการณ์ ก็ขาดอำนาจ”
2.กองทัพ : มีกำลังสูงสุด แต่ขาดความคิดวิสัยทัศน์ระดับรัฐบุรุษ และไม่กล้าตัดสินใจ ใช้อำนาจรัฐไม่เป็น
3.พรรคการเมือง : มีความคิด-กำลัง-ทุน-อำนาจรัฐ แต่ขาดการปฏิรูปตนและพัฒนาคุณภาพประชาชน
4.ฝ่ายประชาชน : มีปริมาณมาก แต่มีปัญหาผู้นำ ขาดวิสัยทัศน์ การจัดตั้งฯ ไม่มีกำลังที่เป็นจริง ฯลฯ
l 3.ประเด็นหลักที่ไปไม่ถึงฝั่งประชาธิปไตย
3.1 ไม่เข้าใจหลักการที่แท้จริงของประชาธิปไตย และการพัฒนาสังคมไทย : ระบบและคน ที่มีคุณภาพเป็นธรรม จึงนำประชาธิปไตยเลือกตั้ง
แบบตะวันตกมาใช้เพียงรูปแบบ ไม่ได้ประยุกต์ให้สอดคล้องกับสภาพ
สังคมไทย
3.2 การเข้าสู่อำนาจรัฐของฝ่ายต่างๆ ล้วนแต่เป็นชนชั้นนำที่ต้องการรักษาสถานะบทบาทของกลุ่มของตน
3.3 ไม่มีการปฏิรูปหรือปฏิวัติระบบโครงสร้างสังคม ทางการเมืองเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและคุณภาพคน
3.4 ขาดการสรุปบทเรียนที่เป็นจริง ของเหตุการณ์ประชาธิปไตยของสังคมไทย จึงไม่รู้ผิดถูกและทางออก
3.5 บทบาทของภาคประชาชนและพรรคการเมืองทั่วไป จะลดน้อยถอยลง ไม่มีกำลังที่เป็นจริงไปอีกระยะหนึ่ง
3.6 ผู้นำให้ความสำคัญกับความคิดของมหาอำนาจและชนชั้นนำของสังคม มากกว่าผลประโยชน์ประชาชน
l 4.ขาดการยึดเอาผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตนของกลุ่มสถาบันฯของตน
4.1 รัฐบาล(จากการรัฐประหารหรือเลือกตั้งฯ) ไม่ได้ระดมผู้รู้จริงมาแก้ปัญหา เอาแต่พวกตนเป็นหลัก
4.2 ฝ่ายค้านฯ ก็พยายามดิสเครดิตรัฐบาล ไม่ให้ทำงานสำเร็จมีผลงาน เพราะจะกระทบเสียงสนับสนุนตน
4.3 นักวิชาการปัญญาชนชนชั้นนำฯ ขาดกึ๋นขาดกำลัง ที่จะส่งเสริมรัฐบาลให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
4.4 ภาคประชาชนและกลุ่มข้างต้นฯ ขาดความคิดสร้างสรรค์มองบวก แต่กลับมองเชิงลบ ตำหนิทุกเรื่อง
4.5 มีความคิดความเคยชินแบบเก่าๆ ที่เคยใช้มา ไม่มีการสรุปแก้ไขพัฒนาหาทางออกที่เป็นจริง
4.6 การขาดการศึกษาสังเคราะห์ หาจุดแข็งข้ออ่อน เพื่อเสนอแนะให้รัฐบาลฝ่ายค้านและกลุ่มต่างๆ ปรับปรุง
4.7 ขาดการสร้างคนรุ่นใหม่ให้มีคุณภาพที่จะมารับช่วง แต่มีลักษณะการยัดเยียดความคิดของตนไปสู่เยาวชน
4.8 ขาดความรู้ สติปัญญา ที่จะหาความจริง จึงถูกข้อมูลเท็จบิดเบือนจากกลุ่มที่ไม่มีเจตนาที่ดีต่อบ้านเมือง
โดยสรุป สภาพปัจจุบัน จะยังไม่มีกลุ่มใดสถาบันใดที่เข้มแข็งมีวิสัยทัศน์ความเป็นรัฐบุรุษที่จะแก้ไขวิกฤติได้ ประชาชนไทย คงจะต้องคงอยู่ในภาวะ “ไม่มีทางออกแต่ไม่วิกฤติที่สุด” ไปอีกนานพอควร จนกว่า...
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี