สถานการณ์น้ำในปัจจุบัน ระดับน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในลุ่มเจ้าพระยา มีการบริหารจัดการน้ำผ่านเขื่อนต่างๆ และมีการผันน้ำออกทุ่งนาสองข้างเจ้าพระยา เพื่อให้ช่วยรับน้ำบางส่วนแทนที่จะปล่อยให้น้ำวิ่งตรงสู่เมือง
นายทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ได้งดการระบายน้ำต่อเนื่อง เพื่อเก็บกักน้ำในช่วงปลายฤดูฝนให้ได้มากที่สุด สำหรับสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งหน้าที่กำลังจะมาถึงอีกใน 1 เดือนข้างหน้า ส่วนเขื่อนเจ้าพระยายังควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านท้ายเขื่อนในเกณฑ์ไม่เกิน 2,600 ลบ.ม.ต่อวินาที เพื่อมิให้กระทบต่อพื้นที่ตอนล่าง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร พร้อมกับใช้ระบบชลประทานทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกรับน้ำเข้าไปอย่างเต็มศักยภาพ
“ทั้งสองฝั่งรับน้ำเข้าไปรวมกันวันละ 578 ลบ.ม.ต่อวินาที และใช้พื้นที่ลุ่มต่ำทั้งสองฝั่งรับน้ำเข้าไปเก็บไว้ในทุ่งต่างๆ รวม 12 ทุ่ง ช่วยบรรเทาและลดยอดปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านลงสู่พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างได้มากกว่า 1,183 ล้านลูกบาศก์เมตร และยังสามารถรับน้ำรวมกันได้อีกกว่า 310 ล้านลูกบาศก์เมตร” (ณ วันที่ 16 ต.ค.2560)
อธิบดีกรมชลประทานได้กล่าวขอบคุณเจ้าของพื้นที่เกษตร ที่ช่วยรับน้ำ ทำให้น้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯและปริมณฑลโดยคนกรุงเทพฯต้องขอบคุณ ชาวบ้านพื้นที่นี้ที่ได้ช่วยรับน้ำจำนวนมากมายไว้ได้ในปีนี้
คำถามคือเราควรจะปล่อยให้มีการปกป้องน้ำที่จะเข้าสู่กรุงเทพมหานคร โดยระบายใส่ที่นาของชาวบ้าน
แล้วก็กล่าวคำขอบคุณต่อไปเช่นนี้ซ้ำซากอีกต่อไปหรือไม่?!
1. ความจริงของการจัดสรรน้ำ
ในความเป็นจริง น้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อน ที่มีทั้งหมด มีไว้ใช้หลายวัตถุประสงค์ด้วยกัน
1.1 ในยามปกติ
หากในสถานการณ์ปกติ เขื่อนก็มีการจัดสรรน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า โดยเลือกปล่อยน้ำออกจากเขื่อนในชั่วโมงที่ชาวเมืองต้องการใช้ไฟฟ้ามากๆ ซึ่งได้แก่ในช่วงบ่ายและช่วงหัวค่ำ เพราะน้ำที่ไหลลงมาจะสามารถปั่นเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทันที แต่ถ้าเป็นสถานการณ์น้ำมาก หากระบายน้ำตลอด ก็จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตลอดเช่นกัน
นอกจากปล่อยน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าแล้ว เมื่อเขื่อนปล่อยน้ำลงในแม่น้ำ ก็จะมีวัตถุประสงค์ของการจัดสรรน้ำหลายอย่าง ปะปนกัน ขัดแย้งแย่งชิงกัน เช่น
ระบายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ให้แก่คนที่อยู่ใต้เขื่อน โดยเฉพาะของคนในเมือง
เพื่อรักษาระดับน้ำในแม่น้ำ ในการเดินเรือขนส่งทางน้ำ
เพื่อการประมง เพราะเลี้ยงสัตว์น้ำ
เพื่อเข้าสวนผัก สวนผลไม้
เพื่อผลักดันน้ำเค็ม มิให้น้ำเค็มดันขึ้นมาจากอ่าวไทย ในยามที่น้ำทะเลยกสูงจะกระทบการทำน้ำประปาในกรุงเทพฯ
เพื่อไล่น้ำเสีย ทั้งน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และจากบ้านเรือน
เพื่อให้ชาวนาได้ทำนาข้าว
1.2 ในยามแล้ง
หากลำดับความสำคัญของการจัดสรรน้ำในยามแล้ง
จะพบว่า
การปล่อยน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า เกินไปตามช่วงเวลาที่คนต้องการใช้ไฟฟ้ามากๆ ดังปรากฏว่าจะมีน้ำออกจากเขื่อนเป็นระลอก ตลอดทั้งวันจะมาเป็นบางช่วงเวลา น้ำในแม่น้ำจะมีการขึ้น-ลง โดยเฉพาะในแม่น้ำที่มีเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าอยู่ อาทิ ปิง น่าน
ส่วนการจัดสรรน้ำเพื่อประโยชน์ด้านการอุปโภคบริโภคของคนในเมืองใหญ่ก็ยังคงมีความสำคัญ
การทำสวนผักผลไม้การทำประมง การเดินเรือและทั้งดันน้ำเค็ม ดันน้ำเสีย ก็ได้รับการจัดลำดับความสำคัญ
ส่วนการทำนาของจังหวัดสองข้างเจ้าพระยา ไม่ว่าจะเป็น อ่างทอง อยุธยา สุพรรณ ปทุมธานี รวมไปถึงพื้นที่ภาคตะวันออกอย่างฉะเชิงเทรา ฯลฯ ก็จะต้องเป็นผู้เสียสละ
จะเห็นได้ว่า ในยามแล้ง ทางการจะใช้วิธีขอให้ชาวนาหยุดการทำนาปรัง เพื่อลดการใช้น้ำ โดยให้ไปปลูกพืชอื่นที่ใช้น้ำน้อย ส่วนการจัดสรรน้ำก็จะแบ่งโซน กรมชลประทานสามารถเลือกจัดสรรน้ำได้ จะเลือกจัดสรรฝั่งซ้ายหรือขวาของคลอง ซึ่งอาจสร้างความไม่เป็นธรรม ขึ้นกับการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่
ชาวนาส่วนที่อยู่ต้นคลอง ที่ได้รับการจัดสรรน้ำก็จะได้เปรียบ ได้ประโยชน์ แต่ชาวนาบางส่วนก็ต้องเสียสละ
ภายใต้สภาวะการจัดสรรน้ำมายาวนานเช่นนี้ ชาวนาก็แค่บ่น สะท้อนความรู้สึก และความติดขัดในการประกอบอาชีพออกมาบ้างเท่านั้น
1.3 ในยามน้ำมาก ดังเช่นปัจจุบัน
ไม่ว่าจะปัจจุบัน หรือหลายปีก่อน ที่เกิดภาวะปริมาณน้ำมาก ก็จำเป็นต้องบริหารจัดการน้ำอีกแบบหนึ่ง
ที่ผ่านมา ผมก็เห็นความจำเป็นที่จะต้องป้องกันเมืองใหญ่ เพราะถ้าปล่อยให้น้ำท่วมก็จะเสียหายมาก เหมือนที่เกิดในปี 2554 ซึ่งจะเดือดร้อนทั้งอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การบริการ การจ้างงานและอื่นๆ
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทางการทำ คือ พยายามกันน้ำที่จะเข้ากรุงเทพฯ โดยผันน้ำ เข้าแม่น้ำย่อย เข้าคลอง เพื่อผันออกยังท้องนา ให้ช่วยรับน้ำ ในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาหลายจังหวัด ดังที่ปรากฏในปัจจุบัน
ล่าสุด ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ อธิบดีกรมชลประทาน ก็ได้เปิดเผยว่า ช่วงนี้ปริมาณน้ำเหนือวิกฤติ ต้องบริหารน้ำโดยการปิดการรับน้ำจากทุ่งไหลย้อนเข้าคลองต่างๆ อั้นน้ำไว้ในทุ่งพื้นที่เกษตร 3-4 วัน เพื่อใช้ระบบชลประทานในพื้นที่ภาคกลางทั้งหมดเร่งระบายน้ำเหนือออกสู่ทะเลโดยเร็ว ให้น้ำจากตอนบนลงมาได้มากที่สุด ใช้วิธีสับหลีกให้น้ำจากทางเหนือลงมาก่อน ระบายผ่านทางตรงแม่น้ำเจ้าพระยา เร่งระบายเร็วที่สุด และยังมีปัจจัยจากน้ำในทุ่งย้อนกลับมา จะหยุดการันน้ำเข้าแก้มลิงทุ่งบางบาล หลังรับน้ำเต็มพิกัดแล้ว
“ต้องขอบคุณพื้นที่เกษตรที่ช่วยรับน้ำไว้ได้ ทำให้ไม่ท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยคนกรุงเทพฯต้องขอบคุณพื้นที่นี้ช่วยรับน้ำจำนวนมากไว้ได้ปีนี้”
2. ควรสร้างระบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขในการจัดการน้ำท่วม
แน่นอน เราไม่อาจแบ่งน้ำไปปริมาณเท่ากันทุกพื้นได้ ไม่ควรให้ทุกพื้นที่จมน้ำเสียหายเท่าๆ กัน เพราะแต่ละพื้นที่มีความจำเป็น มีระดับความเสียหายแตกต่างกัน ดังนั้น นอกจากการขอบคุณหรือช่วยเหลือเป็นครั้งๆ รัฐควรคิดถึงระบบที่จะช่วยเหลือดูแลชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจผันน้ำในลักษณะนี้
มีข้อเสนออย่างน้อย 2 ทางเลือก
2.1 เฉลี่ยทุกข์-สุข ระหว่างชาวเมืองกับชาวบ้านที่น้ำท่วม
ควรจะต้องเก็บ “ค่าธรรมเนียมการป้องกันน้ำท่วม”โดยพิจารณาจัดเก็บจากคนในเมือง ซึ่งจะจัดเก็บจากเจ้าของพื้นที่ ต่อตารางวาหรือต่อไร่ หรือจะเก็บตามมูลค่าของทรัพย์สิน หรือจะเก็บตามจำนวนหัวของคนที่อยู่ในเมือง ก็สุดแท้แต่
ค่าธรรมเนียมการป้องกันน้ำท่วม จะถูกนำไปจัดสรรดำเนินการชดเชยความเสียหาย ค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ ต้องทนทุกข์กับสภาวะน้ำท่วมขังนานเกินปกติ
รายได้จากค่าธรรมเนียมการป้องกันน้ำท่วมควรจะนำมาวางแผนสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อจัดการน้ำท่วม
ระบบที่จะกักเก็บน้ำ ไม่ว่าจะเป็น แหล่งน้ำขนาดเล็ก แก้มลิง ธนาคารน้ำใต้ดิน
ระบบผันน้ำ ไม่ว่าจะเป็น การกระจายน้ำลงแม่น้ำสาขา หรือแม้แต่การลงทุนสร้างทางผันน้ำ-ทางด่วนน้ำออกสู่ทะเล เพื่อผันและกระจายน้ำออกสู่ทะเลโดยเร็ว ไม่ใช่แค่ผันน้ำออกสู่ท้องนา
ปัจจุบัน เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมาก สามารถทำได้ทั้งสะพานยกระดับชักน้ำ หรืออุโมงค์น้ำใต้ดิน
2.2 ควรใช้เงิน จากค่าธรรมเนียมการป้องกันน้ำท่วมดังกล่าว ไปช่วยชุมชนและท้องถิ่นให้ลุกขึ้นมาบริหารจัดการน้ำ เพราะปัจจุบัน ปัญหาหมักหมมสั่งสมมานานมาก ชาวนาที่มีที่นาอยู่ต้นคลองซอย คลองไส้ไก่ จะใช้น้ำมาก ใช้แบบไม่บันยะบันยัง
ยิ่งกว่านั้นระบบคลองย่อยเพื่อระบายน้ำไม่ได้พัฒนามานาน ถ้าพัฒนาคลองซอยกระจายทั่วถึงมากขึ้น น้ำจะถูกจัดสรรกระจายออกไปมากขึ้น จะเป็นประโยชน์แก่ชาวนาคนอื่น เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น
นอกจากนี้ ควรให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการจัดเก็บค่าน้ำ เพื่อให้เกษตรกรที่อยู่ต้นคลอง ที่ปกติใช้น้ำมาก จะต้องใช้น้ำอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ทิ้งๆ ขว้างๆ โดยเงินค่าใช้น้ำจะต้องไม่นำเข้าส่วนกลาง แต่นำไปสมทบเข้ากองทุนท้องถิ่น เพื่อพัฒนาคลองซอย คลองไส้ไก่
วางระบบให้ท้องถิ่นและชุมชน พัฒนาแหล่งน้ำจัดสรรน้ำโดยใช้งบส่วนนี้ ร่วมกับเงินค่าธรรมเนียมป้องกันน้ำท่วม
สรุป
ผมเฝ้าดูเรื่องนี้มาหลาย 10 ปี เห็นและตระหนักถึงความจำเป็นต้องปกป้องน้ำท่วมเมือง เพราะถ้าปล่อยให้น้ำเข้าเมืองเหมือนปี 2554 จะสูญเสียมากกว่าที่ความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรมาก
แต่เราจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้
จะปล่อยให้เป็นความเสียสละ หรือให้แต่คำขอบคุณสำหรับผู้ได้รับผลกระทบไม่ได้
ควรเริ่มต้นสร้างระบบเฉลี่ยทุกข์-เฉลี่ยสุขอย่างแท้จริง
ใครใช้น้ำมากก็ควรเสียค่าน้ำมาก ใครได้ความปลอดภัยจากน้ำท่วมก็ควรเสียค่าต้นทุน ชดเชยให้คนอื่นที่ทนทุกข์แทนบ้าง
มิฉะนั้น นอกจากจะไม่เกิดความเป็นธรรมแก่ชาวบ้านแล้ว ยังทำให้ช่องว่างระหว่างรายได้ของคนในกรุงเทพฯกับคนชนบท คนในเมืองและคนในภาคเกษตร เหลื่อมล้ำมากกว่าเดิม ซ้ำเติมปัญหาการกระจายรายได้ของประเทศไทยที่รุนแรงอยู่แล้วให้ย่ำแย่ลงไปอีก
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี