ขอน้อมส่งเสด็จสู่ สวรรคาลัย
ประชาชนทั่วแดนไทย หลั่งน้ำตา
ตั้งปณิธาน สืบสานไป ในวันหน้า
ตามแนวคิด ปรัชญาความพอเพียง
ข้าพเจ้านายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ขอน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยโดยเขียนบทความเกร็ดเรื่องเล่าราชยานยนต์แห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทร์มหาภูมิพลอดุลยเดช ผ่านรถยนต์ทรงงานของพระองค์ท่าน แบ่งเป็น 2 ตอนได้แก่ ราชาผู้สง่างามและ มหากษัตริย์นักพัฒนาซึ่งจะตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์แนวหน้าฉบับวันนี้ และอีกครั้งวันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2560
ตอนที่ 1 ราชยานยนต์แห่งราชาผู้สง่างาม
วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี นวัตกรรม เป็นสิ่งที่ควบคู่กับราชวงศ์ไทยมาช้านาน ย้อนไปดูครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4ทรงเปิดโลกทัศน์คนไทยให้กว้างไกลขึ้น พระองค์ทรงเป็นนักดาราศาสตร์ที่คำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงล่วงหน้าถึง 2 ปีอย่างแม่นยำ จนได้รับการยกย่องเป็น“พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” ทรงมีวิสัยทัศน์ต้องการให้ประเทศไทยทันสมัยทัดเทียมนานาอารยประเทศ ทรงเปิดโลกกว้างให้พระเจ้าลูกยาเธอ พระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงเจ้านายหลายพระองค์ให้ไปศึกษาต่อในต่างประเทศ เพื่อจักได้เป็นคุณแก่ชาติบ้านเมืองในวันข้างหน้า
ความทันสมัยตามพระราชนิยม ได้ส่งต่อถึงสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ที่ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในเวลาต่อมา จนเกิดการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ ตั้งแต่การเลิกทาส จัดตั้งกระทรวงต่างๆ จัดตั้งการปกครองส่วนภูมิภาค ตลอดจนทรงริเริ่มนำสิ่งใหม่ๆเข้ามาพัฒนาประเทศ เช่น ขุดคูคลอง ไฟฟ้า ไปรษณีย์ โทรเลข รถไฟ การสร้างถนนหลายสาย
รวมถึงเรื่อง“รถยนต์” ที่จะเป็นแก่นสำคัญของคอลัมน์ในวันนี้ครับ
รถยนต์พระที่นั่งองค์แรกแห่งราชสำนักไทย มีการบันทึกไว้ว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ที่รู้จักกันว่าเป็น “พระบิดาแห่งกฎหมายไทย” พระราชโอรสองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จฯทรงรักษาตัวที่ประเทศฝรั่งเศส ได้ซื้อรถเดมเลอร์ เบนซ์ (Daimler Benz) มาไว้ใช้งาน และเมื่อเสด็จฯกลับสยาม ก็ได้ถวายแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้ใช้เป็นราชยานยนต์ส่วนพระองค์เป็นคันแรก
“แก้วจักรพรรดิ” รถยนต์พระที่นั่งในรัชกาลที่ 5 Mercedes รุ่นปี พ.ศ.2448 เครื่องยนต์สี่สูบ 28 แรงม้า
ในเวลาต่อมาไม่นานนัก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสั่งซื้อรถยนต์จากบริษัทเดิมอีกครั้งผ่านสถานเอกอัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส แต่คราวนี้รถยนต์เปลี่ยนชื่อยี่ห้อเป็น เมอร์เซเดส (Mercedes) แล้ว โดยมีพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เป็นผู้ตรวจรับ พระพุทธเจ้าหลวงพระราชทานชื่อรถว่า “แก้วจักรพรรดิ” มีสีแดง ขลิบโครเมียมสวยงาม แต่เกิดเรื่องไม่คาดคิด เมื่อมีการทดสอบการใช้งาน โดยใส่น้ำมันเบนซินเพื่อติดเครื่อง แต่ด้วยโรงจอดรถม้านั้น มีตะเกียงอยู่ใกล้ๆ ทำให้ไอน้ำมันกระทบกับตะเกียงเกิดเป็นไฟลามลุกไหม้แก้วจักรพรรดิไปแถบหนึ่ง ซึ่งพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ใช้เวลาซ่อมแซมเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น รถยนต์พระที่นั่งองค์นี้ก็นำมาใช้งานได้อย่างดีในเวลาต่อมา
จากนั้นมาสยามก็มีการพัฒนาถนนหนทางและใช้รถยนต์มากขึ้น จนต่อมาเกิดเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 เจ้านายหลายพระองค์ต้องเสด็จฯนิวัตต่างประเทศ รวมถึงเจ้านาย 2 พระองค์ที่มีบทบาทต่อวงการยานยนต์โลกคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ ภาณุเดช หรือพระองค์เจ้าพีระ ในฐานะนักแข่งรถระดับโลก และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ในฐานะผู้จัดการทีมแข่ง ทั้งสองพระองค์ที่มีชื่อเสียงในหมู่นักแข่งรถในชื่อ Prince Bira และ Prince Chula
“เจ้าดาราทอง” คือสมญาของพระองค์เจ้าพีระ อันเนื่องมาจากทรงชนะเลิศการแข่งรถกรังด์ปรีซ์ในยุโรปหลายครั้ง ระหว่างปี พ.ศ. 2479 , 2480 และ 2481 จนได้รางวัล ดาราทอง (BRDC Road Racing Gold Star) จากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร 3 ปีซ้อน ได้รับการบรรจุชื่อในหอเกียรติยศของสมาคมนักแข่งรถอังกฤษ
“เจ้าดาราทอง” พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช และครอบครัวราชสกุลมหิดล
จากบันทึกที่มีว่าในการแข่งขันเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2479 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 พร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนี สมเด็จพระพี่นางเธอ และสมเด็จพระอนุชาธิราช เสด็จทอดพระเนตรอย่างใกล้ชิดถึงขอบสนามแข่งที่กรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และพระองค์เจ้าพีระนักแข่งรถระดับโลกผู้นี้ ก็เป็นผู้ถวายคำแนะนำเกี่ยวกับรถยนต์ให้ยุวกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ และนี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการทรงสนพระทัยในรถยนต์ของในหลวงรัชกาลที่ 9
รถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สมัยประทับอยู่เมืองโลซานประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ คือ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ นูร์เบิร์ก 500 (Mercedes-Benz Nurburg 500)” ซึ่งเป็นรถยนต์พระที่นั่งที่รัฐบาลไทยจัดถวาย
Mercedes-Benz Nürburg 500 ที่ทรงประทับเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ที่โลซานน์
Mercedes-Benz ยังเป็นรถพระที่นั่งในเหตุการณ์สำคัญที่เล่าขานกัน เมื่อครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ขณะเพิ่งทรงพระยศสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 มีเหตุการณ์ระหว่างทางเสด็จฯสนามบินดอนเมือง เพื่อไปศึกษาต่อประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีประชาชนตะโกนแทรกเข้ามาว่า “ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน” จนกลายเป็นที่มาของพระราชดำรัสที่ว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร” รถยนต์พระที่นั่งประวัติศาสตร์คันนี้คือ เมอร์เซเดส-เบนซ์ 320 คาบริโอเล่ต์ เอฟ (Mercedes-Benz 320 cabriolet F) เป็นรถตอนยาว หลังคาเปิดประทุน มีเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ผู้สำเร็จราชการในรัชกาลที่ 8 เคยใช้ในงานสำคัญๆ หลายครั้ง
ในหลวงรัชกาลที่ 9 บน Mercedes-Benz 320 Cabriolet F
Mercedes-Benz 320 Cabriolet F เครื่องยนต์เบนซิน 78 แรงม้า 3,405 ซีซี
ความสนพระทัยเกี่ยวกับรถยนต์นำพามาซึ่งการพบกันของพระราชาและพระราชินีของพระองค์ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังทรงศึกษาอยู่เมืองโลซานสวิตเซอร์แลนด์ ได้เสด็จฯมาที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อทอดพระเนตรโรงงานทำรถยนต์ โดยมีหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร (ภายหลังเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคล กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) ดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงปารีส ในขณะนั้น และครอบครัว เฝ้าฯรับเสด็จ
ในการทรงเยือนครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีรับสั่งเป็นพิเศษว่าให้ไปทอดพระเนตรลูกสาวของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลด้วยว่า “สวยน่ารักไหม” ซึ่งก็คือสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ในขณะนั้น) พระธิดาพระองค์ใหญ่ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร และยังทรงกำชับว่า “เมื่อถึงปารีสแล้วให้โทร.บอกแม่ด้วย” และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จฯถึงปารีสแล้ว จึงโทรศัพท์ตอบสมเด็จพระบรมราชชนนีว่า “เห็นแล้ว น่ารักมาก” และนั่นคือจุดเริ่มต้นการพบกันของพระราชาและพระราชินี
รถยนต์ฝรั่งเศสที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 โปรดและเสด็จฯทอดพระเนตร ยี่ห้อ เดอลาเฮย์ (Delahaye) ผลิตในกรุงปารีส โดยทรงซื้อรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์จากเดอลาเฮย์ถึง 4 คัน คือ เดอลาเฮย์ โมเดล 135 สองประตูเปิดประทุน คาบริโอเล่ต์, เดอลาเฮย์ โมเดล 178 เครื่องยนต์หกสูบ สามคาร์บิวเรเตอร์แบบรถแข่ง ตัวถังซาลูน, เดอลาเฮย์ โมเดล 178 เครื่องยนต์หกสูบ คาร์บิวเรเตอร์เดี่ยว เดิมเป็นตัวถังซาลูน ต่อมาปรับปรุงเป็นแวก้อนติดซันรู้ฟโดยบริษัท ไทยประดิษฐ์, และเดอลาเฮย์ โมเดล 180 ตัวถังลีมูซีน เครื่องยนต์หกสูบ สามคาร์บิวเรเตอร์ ฐานล้อยาว มีกระจกกั้นกลางห้องโดยสารกับห้องคนขับ
Delahaye 135 , Delahaye 178 , Delahaye 178 Station Wagon , Delahaye 180
รถยนต์พระที่นั่งอีกองค์ที่สำคัญมากก็คือ “เฟียต ทอปอลิโน (Fiat Topolino)” ในหลวงรัชกาลที่ 9 ขอพระราชทานอนุญาตจากสมเด็จพระบรมราชชนนีเพื่อทรงซื้อ เพราะ “ดู ตลก และน่ารักดี” โดยมีพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช นักแข่งเจ้าดาราทอง ถวายการฝึกขับรถ แต่แล้วในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2491 บนถนนในชนบทของสวิตเซอร์แลนด์ รถบรรทุกที่ไฟท้ายสว่างไม่พอ ได้เบรกกะทันหัน จนรถเฟียตที่พระองค์ทรงขับมาไถลชนเข้าอย่างจัง พระอาการสาหัส ระหว่างถวายการรักษา สิ่งแรกเมื่อรู้สึกพระองค์ก็ทรงหยิบรูปหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ส่งถวายสมเด็จพระบรมราชชนนี พร้อมกับรับสั่งว่า “แม่ เรียกสิริมาที” แต่จากอุบัติเหตุครั้งนั้นเอง ทำให้เศษกระจกกระเด็นเข้าพระเนตรขวา ทำให้พระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรขวาได้อีก
Fiat Topolino เครื่องยนต์ 564 ซีซี 13 แรงม้า ความเร็วสูงสุดประมาณ 85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
บทความตอนแรกในวันนี้เป็นการเล่าถึงรถยนต์ส่วนพระองค์ในช่วงต้นรัชกาลเท่านั้น ยังมีภาคต่อที่จะมาเล่าสู่กันฟังในสัปดาห์หน้าเป็นตอนที่ 2 ในชื่อ“ราชยานยนต์แห่งมหากษัตริย์นักพัฒนา” รถหลายรุ่นหลายคันที่จะได้เล่าต่อไป มีความสำคัญต่อการพัฒนาบ้านเมืองในหลายบริบทเลยทีเดียว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี